วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

ดูแลแอร์รถยนต์ เตรียมรับมือหน้าร้อนนี





      เมื่อถึงฤดูร้อนนั้น ( ตอนนี้ฤดูใหนๆก็ร้อนตับแล้บ ) เราหลายคนคงนึกถึงระบบปรับอากาศรถยนต์ ที่จะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยคุณคลายร้อนเมื่อต้องผจญกับควันพิษในเมืองกัน ระบบแอร์แม้จะไม่ใช่ระบบที่เป็นตัวบทสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนรถยนต์หนึ่งคัน แต่ถือว่าสำคัญต่อคนขับมากๆ โดยเฉพาะเมื่อร้อนนี้ เรื่องนี้อาจจะฟังดูยาก แต่ด้วยความที่ระบบแอร์รถยนต์นั้นเป็นระบบปิด (หมุนเวียนภายในเท่านั้น) ถ้ารถคุณไม่ได้มีปัญหาจริง แค่ดูแลรักษาง่าย 5 ข้อก็คงเพียงพอ

      ระบบปรับอากาศในรถยนต์ รถยนต์ประกอบด้วยส่วนประกอบหลายอย่าง ระบบปรับอากาศหรือแอร์ คืออุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างหนึ่งในรถยนต์เพื่อสร้างความเย็นและระบายอากาศภายในตัวรถ การใช้งานที่ถูกต้องและการดูแลรักษาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อยืดอายุการใช้งาน เนื่องจากระบบปรับอากาศในรถยนต์ย่อมสึกหรอไปตามอายุการใช้งาน

      1.เช็กน้ำยาแอร์ ในหน้าหนาวเราอาจจะไม่เคยรู้สึกร้อนอะไรมากมายนัก เพราะอากาศภายนอกช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานแอร์ไปส่วนหนึ่ง แต่เมื่อหน้าร้อนคุณจะรู้ได้ทันทีว่าระบบแอร์คุณมีปัญหาหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าช่วงที่กำลังเปลี่ยนฤดูนี้ รถใครเย็นแบบชืดๆ ไม่ฉ่ำ ก็ได้เวลาเปิดฝากระโปรงตรวจสอบระดับน้ำยาแอร์ การดูระดับน้ำยาแอร์นั้น คุณสามารถดูได้ที่กรองแอร์ ซึ่งอยู่ในบริเวณแผงระบายความร้อนทางด้านหน้ารถ โดยกรองแอร์หรือที่บางคนเรียกว่า Dryer นี้จะมีช่องตรวจสอบน้ำยา โดยสังเกตผ่านตาแมวที่เป็นกระจกใส่ว่า ถ้าเราเริ่มเห็นฟองอากาศ แสดงว่าน้ำยาแอร์เริ่มน้อย กลับกันถ้าน้ำยายังมากกระจกจะค่อนข้างใส ซึ่งโดยปกติแล้วเราต้องเติมน้ำยาแอร์เป็นประจำทุกๆ 2 ปี

      2.ตรวจเช็กรอยรั่วของระบบ บางครั้งสาเหตุที่แอร์รถยนต์ไม่เย็นนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากระบบเกิดรอยรั่ว ซึ่งโดยทั่วไประบบแอร์จะไม่สามารถรั่วเองได้ เว้นแต่จะมีการสึกหรอของอุปกรณ์ ไม่ว่าจะแผงระบายอากาศไปจนถึงโอริงตัวเล็กที่ประกบอยู่ระหว่างชุดท่อแอร์ข้างใน การสังเกตว่าแอร์รถของท่านรั่วหรือไม่นั้นสามารถทำได้ง่ายๆ โดยดูจากรอยรั่วที่น้ำยากระทำต่อนวมแอร์ หรือมีคราบสกปรกในบริเวณต่างๆ ที่ใกล้กับท่อแอร์ ซึ่งคราบเหล่านี้เกิดจากน้ำยาแอร์ แต่กรณีที่รถของท่านเกิดไม่มีรอยน้ำยาเหล่านี้แต่น้ำยาแอร์พร่อง หาย อาจเป็นไปได้ 2 กรณี คือ 1. น้ำยาแอร์ต่ำ และ 2. อุปกรณ์ในระบบที่ไม่ใช่ชุดท่อแอร์รั่ว ซึ่งเราจำเป็นต้องติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

       3.ล้างแอร์ ถ้าคุณคิดว่ารถคุณปกติ ก็ได้เวลาไปล้างแอร์กัน ปัจจุบัน การล้างแอร์นั้น สามารถทำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องถอดตู้แอร์ออกมาให้ยุ่งยากวุ่นวาย ซึ่งหากคุณมีโอกาส ค่าใช้จ่ายครั้งละ 1,500 บาทต่อครั้ง อาจจะทำครั้งละ 1 ปี ถือว่าไม่ใช่เงินที่เยอะเลย และนอกจากลมแอร์จะดีขึ้นแล้ว ยังช่วยรักษาสุขภาพของคุณและผู้โดยสารด้วย

      4.ไปล้างรถ หลายคนอาจจะงง มันไปเกี่ยวอะไรกับการล้างรถ แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราแนะนำให้คุณไปร้านล้างอัดฉีดที่มีเครื่องน้ำพ่นแรงๆ แล้วบอกเน้นย้ำเขาให้จัดการกับแผงระบายความร้อนด้านหน้ารถคุณ ซึ่งทุกวันที่คุณขับ นอกจากเศษฝุ่น คราบใบไม้แล้ว บางทีอาจจะแถมสัตว์ประหลาดมาด้วยนั้น จะถูกหมักความสกปรกไว้ตรงนี้ทั้งหมด ซึ่งการล้างอัดฉีดเป็นวิธีเดียวที่ช่วยได้ และถึงมันไม่เกี่ยวกับระบบปรับอากาศรถยนต์โดยตรง แต่การที่เราขจัดคราบฝุ่น-เศษขยะไปได้ก็ช่วยการระบายความร้อนของน้ำยาดีขึ้น และแน่นอนแอร์เย็นเร็วขึ้นด้วย

       5.ไปเยี่ยมร้านแอร์ หลังจากที่เราเสร็จการเช็กด้วยตัวเราเองแล้ว ก็ได้เวลาไปแวะเยี่ยมช่างผู้ชำนาญการ เพื่อให้เขาตรวจสอบอีกครั้งเป็นการเช็กซ้ำ เพราะการที่เราเช็กด้วยตัวเองบางครั้งไม่ใช่ว่าจะรู้ไปเสียทั้งหมด การที่เราเช็กมาก่อนหน้านี้นั้น ช่วยให้เรารู้ถึงปัญหาก่อนที่จะเข้าร้าน

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556



หน้าฝนอย่างนี้ทำไมไม่หาบทความดูแลรถในหน้าฝนล่ะ ก็เพราะว่าฝนมันตกไม่กี่วันเดี๋ยวมันก็ร้อนเหมือนเดิมน่ะสิครับ ยิ่งในสภาพอากาศบ้านเราที่ร้อนอบอ้าวอย่างนี้ เครื่องยนต์รถของท่านจะต้องทำงานหนักมากขึ้นเกิดความร้อนสูงขึ้น บางครั้งอาจทำให้เครื่องเกิดการ overheat ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำให้เครื่องยนต์เสียหาย วันนี้ขอเสนอวิธีการดูแลรถและเตรียมตัวก่อนเข้าถึงฤดูร้อนที่ใกล้มาถึง เพื่อที่จะไม่ต้องอารมณ์เสียเวลารถตายกลางทาง....

เรามาทำความรู้จักกับระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์กันก่อน ซึ่งมีอยู่ 2 รูป แบบด้วยกันคือ ระบบบายความร้อนด้วยอากาศ และระบบระบายความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็น ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศเป็นระบบระบายความร้อนที่ใช้อยู่ในจักรยานยนต์ และในเครื่องยนต์เกษตร การระบายความร้อนแบบนี้จะให้แรงลมภายนอกมาปะทะเข้ากับครับระบายความร้อนที่ ติดอยู่กับเสื้อสูบ ด้วยอากาศภายนอกที่ร้อนมากยิ่งขึ้น (30-40) องศา ทำให้ระบบระบายแบบนี้มักมีปัญหามาก ทำให้ปะเก็นต่างๆของเครื่องยนต์เสื่อมสภาพเร็ว และอายุการใช้งานของเครื่องยนต์สั้นลง

การ ดูแลรักษาเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ควรมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ น้ำมันเครื่องที่ใช้หล่อลื่นเครื่องยนต์ควรเป็นน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ 100 % เพื่อ การหล่อลื่นที่ดีและช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้ดี ถ้าเครื่องยนต์มีพอร์ตที่สามารถติดตั้งชุดออยล์คูลเลอร์ควรที่จะทำการติด ตั้งชุดออยล์เพิ่มเติมเพื่อการระบายความร้อนของน้ำมันเครื่อง ช่วยให้เครื่องยนต์มีการระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น

ใน ส่วนของระบบระบายความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็น เป็นระบบระบายความร้อนที่ใช้อยู่ในเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งก็คือรถยนต์ทั่วไปก็ใช้ระบบระบายความร้อนในรูปแบบน้ำหล่อเย็นเช่นกัน จุดเด่นของระบบนี้อยู่ที่มีการหมุนเวียนน้ำหล่อเย็นเข้าไปในส่วนต่างๆของ เครื่องยนต์เพื่อลดความร้อน

ด้วย ประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่ดีของระบบระบายความร้อนแบบน้ำหล่อเย็นไป พัฒนาใช้กับรถจักรยานยนต์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งระบบนี้เป็นระบบราบายความร้อนที่มีชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ต้องทำงานร่วมกัน อยู่หลายชิ่นส่วน คือ หม้อน้ำ, พัดลมระบายความร้อน, ปั๊มน้ำ, ท่อ น้ำ และวาล์วน้ำ ซึ่งแต่ละชิ้นส่วน มีการทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี ฉะนั้นการดูแลรักษาระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์แบบน้ำหล่อเย็นจึงต้องมีการ ดูแลรักษาชิ้นส่วนอุปกรณ์ให้มีความสมบูรณ์ในทุกส่วน

สิ่ง แรกที่ต้องดูแลรักษาคือ หม้อน้ำ จะติดตั้งอยู่กับเครื่องยนต์ทำหน้าที่ระบายความร้อนของน้ำหล่อเย็นที่ออกมา จากเครื่องยนต์ ซึ่งการระบายความร้อนของน้ำหล่อเย็นด้วยพัดลมระบายความร้อนที่ติดตั้งอยู่ กับหม้อน้ำ ทำการดูดอากาศเย็นจากด้านหน้ารถยนต์เข้ามาผ่านแผงรังผึ้งหม้อน้ำเพื่อให้น้ำ หล่อเย็นมีอุณหภูมิลดลง แล้งส่งน้ำหล่อเย็นกลับสู่เครื่องยนต์เพื่อระบายความร้อนเครื่องยนต์อีก ครั้ง การดูแลรักษาหม้อน้ำให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนได้ดีควรมีการตรวจ เช็คปริมาณน้ำในหม้อน้ำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำมีสนิมก็ควรที่จะทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อเย็น ใหม่ เพื่อการระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น (น้ำหล่อเย็นที่สนิมปนเปื้อน จะให้การระบายความร้อนของเครื่องยนต์ไม่ดีพอ เพราะผลสนิมจะเป็นสื่อนำความร้อนที่เพิ่มมากขึ้น และยังจะทำให้รูน้ำภายในเครื่องยนต์เกิดการอุดตันได้)

การ เปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์ สามารถทำได้โดยการคลายน๊อตใต้หม้อน้ำ ปล่อยน้ำหม้อน้ำทิ้ง เติมน้ำเข้าสู่หม้อน้ำด้านบนให้เท่ากับปริมาณน้ำที่ออกจากหม้อน้ำแล้ทำ การสตาร์ทเครื่องยนต์ให้เกิดน้ำหมุนเวียนไล่สนิมที่ตกค้างอยู่ภายในเครื่อง ยนต์และหม้อน่ำออกจนหมด แล้วค่อยทำการปิดน๊อตด้านล่างหม้อน้ำให้แน่น ทำการเติมน้ำหล่อเย็นใหม่ให้เต็ม ทำการติดเครื่องยนต์อีกครั้งเพื่อไล่อากาศที่อยู่ในระบบออกให้หมด ทำการเติมน้ำให้เต็มอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จสิ้นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อ เย็น สำหรับรถที่มีหม้อพักน้ำเย็นก็ควรที่จะทำการล้างหม้อพักน้ำเย็นด้วย ภายนอกของหม้อน้ำก็ควรทำความสะอาดเช่นกันโดย ทำการล้างน้ำฉีดแผงรังผึ้งหม้อน้ำให้สะอาด เพื่อล้างฝุ่นหรือสิ่งสกปรกที่มาเกาะอยู่แผงรังผึ้งเพื่อให้อากาศไหลเวียน ได้ดี จะทำให้การระบายความร้อนทำได้ดียิ่งขึ้น แต่การฉีดน้ำล้างแผงรังผึ้งไม่ควรฉีดน้ำแรงมากๆ เพราะจะทำให้ครีบของแผงรังผึ้งบิดพับ อากาศจะไหลผ่านไม่สะดวก

สิ่ง ที่สองคือ พัดลมระบายความร้อนเครื่องยนต์ พัดลมระบายความร้อนที่ใช้จะเป็นระบบดูด โดยดูดอากาศจากภายนอกห้องเครื่องยนต์ผ่านแผงรังผึ้งเข้ามาเป่าระบายความร้อน ของเครื่องยนต์ มีอยู่ 2 แบบคือ พัดลมไฟฟ้า และพัดลมใช้กำลังเครื่องยนต์ ซึ่งแบบไฟฟ้านั้นเป็นการระบายความร้อนที่รับการควบคุมการทำงานด้วยชุด เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน เมื่อเครื่องยนต์มีค่าความร้อน 80-90 องศา ระบบเซ็นเซอร์จะสั่งการให้พัดลมระบายความร้อนทำงาน ซึ่งแตกต่างกับพัดลมแบบใช้กำลังเครื่องยนต์ ที่มีการทำงานอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เครื่องยนต์สตาร์ท จนเครื่องดับ การดูแลรักษาควรมีการตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอ ถ้าพัดลมไฟฟ้า มีการหมุนในความเร็วรอบที่น้อยลง หรือแรงลมระบายความร้อนเบากว่าเดิมก็ควรเปลี่ยนพัดลมใหม่ ส่วนการดูแลพัดลมที่ใช้กำลังจากเครื่องยนต์ ควรมีการตรวจเช็คความหนืดของใบพัด ถ้ามีการหนืดน้อยควรจะเติมซิลิโคนเข้าไปในชุดปั้มพัดลมเพิ่ม (การ เติมซิลิโคนไม่ควรเติมมากเพราะจะทำให้พัดลมมีการดูดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ ในปริมาณที่มากทำให้เกิดเสียงดัง และยังทำให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น

สิ่ง ที่สาม คือ ชุดปั้มน้ำ และวาล์วน้ำ ด้วยระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ต้องมีการหมุนเวียนน้ำหล่อเย็นไปยังส่วน ต่างๆของเครื่องยนต์ และส่งน้ำหล่อเย็นเข้าไปยังหม้อน้ำเพื่อระบายความร้อนของน้ำหล่อเย็นแล้วส่ง กลับมาเข้าสู่เครื่องยนต์อีกครั้ง เพื่อทำการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ สิ่งที่ทำหน้าที่เหมือนประตูปิดเปิดให้ปริมาณน้ำหล่อเย็นเข้าสู่เครื่องคือ ชุดวาล์วน้ำ เมื่อเครื่องยนต์มีค่าความร้อนน้อย วาล์วก็จะปิดให้น้ำหล่อเย็นไหลผ่านในปริมาณน้อย เพื่อรักษาอุณหภูมิของเครื่องยนต์ให้มีการเผาไหม้ที่ดี ถ้าเครื่องยนต์มีค่าความร้อนสูง ชุดวาล์วน้ำก็จะทำการเปิดให้น้ำหล่อเย็นไหลเข้าสู่เครื่องยนต์ในปริมาณมากๆ เพื่อการระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น การดูแลรักษาชุดวาล์วน้ำควรทำการเปลี่ยนปีละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาของอาการวาล์วน้ำตาย อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการทำงานของชุดวาล์วน้ำ นั้นคือชุดปั๊มน้ำ จะทำหน้าที่ปั้มน้ำที่ได้รับการระบายความร้อนจากหม้อน้ำเข้าสู่เครื่องยนต์ และผลักดันไล่น้ำหล่อเย็นที่มีค่าความร้อนสูงกลับเข้าไปสู่หม้อเพื่อทำการ ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำอีกครั้ง การชำรุดเสียหายของชุดปั๊มน้ำมักเกิดจาก อายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้ชุดซีลต่างๆ เกิดการฉีกขาดหรือสึกกร่อน ทำให้เกิด การรั่วซึมของชุดปั๊มน้ำ การดูแลรักษาควรทำการเปลี่ยนชุดปั๊มน้ำใหม่ เพื่อให้ปั๊มน้ำเข้าสู่เครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น (สำหรับท่านที่มีทุนทรัพย์น้อยต้องการ ซ่อมปั๊มน้ำ ไม่ขอแนะนำครับ ไม่คุ้มกับค่าเงินที่เสียไป ใช้ได้ประมาณ 3 เดือนก็รั่วซึมอีกครับ)

สำหรับ สิ่งสุดท้าย คือ สายพานและท่อยาง ด้วยการทำงานของชุดปั๊มน้ำหล่อเย็นมีการทำงานด้วยการรับแรงฉุดของเครื่อง ยนต์ที่ส่งผ่านสายพานมายังชุดปั๊มน้ำเพื่อทำการปั๊มน้ำส่งน้ำหล่อเย็นเข้าไป ยังส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ เพื่อระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ฉะนั้นการดูแลรักษา ควรทำการปรับตั้งสายพานให้ตึง เพื่อการส่งถ่ายกำลังเครื่องยนต์ไปยังชุดปั๊มน้ำได้ดียิ่งขึ้น ถ้าสายพานมีรอยแตกร้าวฉีกขาด ก็ควรที่จะเปลี่ยนสายพานใหม่ทันที และนอกจากสายพานที่ต้องให้การดูแลแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เช่นกันคือ ชุดท่อยาง ด้วยระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์มีชุดท่อยางต่างๆมาก การดูแลรักษาชุดท่อยางควรที่จะตรวจท่อยางต่างๆว่ามีรอยแตกร้าวหรือไม่ ถ้ามีควรที่จะทำการเปลี่ยน และตรวจเช็คเข็มขัดรัดท่อยางหให้แน่นทุกจุด

เพียงท่านดูแลรักษาระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้ครบทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมา ก็จะทำให้ท่านขับขี่รถยนต์ท่องเที่ยวไปได้อย่างสบายใจ ไม่มีปัญหาเรื่องความร้อนอย่างแน่นอนครับ

เกร็ดความรู็เล็ก ๆ ที่ทางเรา Q4CAR แหล่งรถมือสองดีๆ ที่นำมาฝากในช่วงหน้าร้อน

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

7 ข้อควรจำสำหรับคนขับรถทางไกล "หน้าเทศกาล"




ความจริงแล้วเราน่าจะมาพูดเรื่องนี้ก่อนช่วงเดินทางสงกรานต์ แม้เราจะรู้ดีว่า หลายคนอาจจะพลาดที่ไม่ได้ บทความนี้ แต่ถือไว้ว่าเก็บไว้ใช้ในครั้งหน้าสำหรับการเดินทาง ที่เราก็ขอให้ทุกคนไปมาโดยสวัสดิภาพ แล้วกลับมาอ่านเรากันเยอะๆ  

     ที่ผ่านมาทุกครั้งที่มีเทศกาลเดินทางเรามารีวิวบทความย้อนหลัง ดูเหมือนว่า เราจะมีการพูดถึงตัวรถไปมาก แต่ว่าความจริงแล้วการขับรถให้มีประสิทธิภาพไม่ได้มีแค่ในส่วนของรถยนต์ตัวมันเองเท่านั้น แต่คนขับก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน และเรามี 6 ข้อ สำคัญ สำหรับคนเดินทางที่รู้ไว้ใช่ว่า มันช่วยคุณได้  

     1. นอนหลับให้พอ การขับรถเดินทางไกล สิ่งสำคัญ คือคุณควรนอนหลับให้เพียงพอต่อการเดินทาง ควรนอนสะสมให้ครบ 8 ชั่วโมง หรือ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำเพื่อลดการง่วงขณะขับขี่ ซึ่งสามารถเป็นต้นเหตุของการหลับในได้

     2.งดเหล้าเบียร์ และยาที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท การทานยาเหล้า-เบียร์มีผลทำให้ร่างกายอ่อนล้า เช่นเดียวกับยากดประสาทประเภทต่าง เช่น ยาแก้แพ้ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการขับขี่ลดลงได้

     3.ท่านั่งที่ถูกต้อง หลายคนมักนั่งขับรถไม่ถูกต้อง ด้วยความกังวลว่ามันจะไม่สบาย แต่ความจริงแล้วท่านั่งขับขี่คือสิ่งที่สำคัญต่อการขับรถ เพราะช่วยให้คุณไม่เมื่อยล้า หรือนั่งผิดท่า ซึ่งทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ดี และนำมาสู่ความเหนื่อยอ่อนการขับขี่หรืออาการหลับในได้
ท่านั่งที่ดีควรอยู่ในท่าที่นั่งสบาย โดยมีพนักพิงโอบกระชับสะโพกและแผ่นหลัง ที่สำคัญไม่ควรนั่งชิดพวงมาลัยจนเกินไป ให้ใช้ข้อมือวัด1 ช่วงแขนจากพวงมาลัย คือจุดที่ดีที่สุดในการขับขี่

     4.หาคนช่วยขับถ้าไปทางไกล บางครั้งเราต้องยอมรับว่าการเดินทางไกลค่อนข้างจะทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้าหรือเพลียได้ บางทีการหาเพื่อนที่สามารถขับรถได้นั่งไปด้วยก็ย่อยจะเป็นทางออกที่ดีกว่า ในการทำให้การเดินทางปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่คุณก็ควรเลือกคนที่มีความชำนาญในการขับขี่ด้วย แต่หากเพื่อคุณไม่ชำนาญทางก็อาจจะสลับกันขับในช่วงที่คิดว่าเป็นจุดเสี่ยงก็ได้

     5.พักรถทุก 2 ชั่วโมง การเดินทางไกลย่อมมีการเมื่อยล้าเป็นธรรมดา และเราขอแนะนำว่า คุณควรจอดพักสักครู่ ทุกๆ 2 ชั่วโมง หรือ 110 กิโลเมตร โดยประมาณ เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ที่สำคัญอย่าลืมแวะเข้าห้องน้ำ เพื่อผ่อนคลายร่างกลายตัวเอง  

    6. น้ำเปล่า..ออพชั่นความสดชื่น หลายคนขับรถส่วนใหญ่มักจะเกิดความเมื่อยล้ากลางทาง และการคลายเครียดที่ดี อาจจะอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร แต่ว่า น้ำคือสิ่งที่สามารถดับกระหายได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับที่มันช่วยในการผ่อนคลายความเครียดได้ ซึ่งการดื่มน้ำขณะขับรถจะสามารถช่วยผ่อนคลายได้ในระดับหนึ่ง และสามารถเพิ่มความสดชื่นได้ รวมถึงยังช่วยลดอาการเส้นเลือดดำอุดตันจากการนั่งขับขี่เป็นระยะเวลานานๆ

     7.คลายความเหนื่อยด้วยลมธรรมชาติ และจังหวะเพลง การขับรถในทางไกลแม้จะเมื่อยล้า แต่ถ้าคุณง่วงหรือเพลียมากๆ ลองปิดแอร์แล้วเปิดกระจกรับลมธรรมชาติสามารถช่วยให้คุณดื่มด่ำกับ ลมสดชื่นระหว่างการเดินทาง ที่สำคัญวิทยุก็เป็นอีกสิ่งที่ช่วยได้ถ้าอ่อนล้า พยายามหาเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน จะช่วยให้คุณตื่นตัวขณะขับขี่

     ทั้ง 7 ข้อที่กล่าวมานี้เราหวังว่าจะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างปลอดภัย ในช่วงวันเทศกาลต่างๆ ไม่เพียงเฉพาะเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น ยังไง ก็ข้อทุกคนเดินทางไป-มา ปลอดภัย ในทุกเส้นทาง.ครับ

เพื่อความไม่ประมาณของผู้ขับขี่ ด้วยความปราถนาดีจาก Q4CAR แหล่งรวบรวมรถมือสองดี ๆ

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

วิธีเพิ่มอายุการใช้งานของ "ยางรถยนต์"




ยางรถยนต์ยี่ห้อต่าง ๆ ที่เข้ามาขายในประเทศทไทยมีลักษณะการผลิตที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งยางที่มีความนุ่มนิ่มนวลในการขับขี่ ยางที่มีความแข็งสำหรับรถแข่งเพื่อให้การเข้าโค้งที่หนึบไม่ย้วย ดังนั้นในการเลือกใช้งานยางรถยนต์จึงต้องเลือกตามทีจุดประสงค์ที่ใช้งาน ซึ่งยางรถยนต์ยังเป็นชิ้นส่วนเดียวของรถยนต์ที่สัมผัสกับพื้นถนน ดังนั้นเมื่อมีการใช้งานไปนาน ๆ ยางก็ย่อมเกิดการสึกหรอหากแต่การสึกหรอของดอกยางจากการใช้งานของผู้ขับขี่ แต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งาน และการดูแลรักษาเป็นสำคัญ นอกจากนี้ อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งปัจจัยหลักที่มีผลต่อการสึกหรอมีดังนี้

ความดันลมยาง การเติมลมยางอ่อนกว่ามาตรฐานทำให้อายุยางสั้นลง บริเวณไหล่ยางจะเกิดความร้อนสูง และสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ซึ่งอาจทำให้เนื้อยางไหม้ และโครงสร้างยางแยกตัวออกจากกัน อันนำไปสู่การบวมล่อน และระเบิดของยาง นอกจากนี้อาจทำให้โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้ และยังเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย

การเติมลมยางมากเกินไปไม่เป็นผลดีเช่นกัน เนื่องจากพื้นที่สัมผัสของหน้ายางกับพื้นถนน ลดลง อาจทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย และโครงยางอาจ ระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกตำ เนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อยอายุยางก็จะลดน้อย ลง

เนื่องจากดอกยางจะสึกบริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่น และทำให้ความนุ่มนวลในขณะขับขี่ลดลงอีกด้วยน้ำหนัก บรรทุก การบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป จะทำให้มีการบิดตัวบริเวณหน้ายางที่สัมผัสพื้นผิวถนนมาก ทำให้เกิดความร้อนได้ง่าย เป็นผลให้มีการสึกหรอ ของเนื้อยางอย่างรวดเร็ว อายุยางก็จะสั้นลงความเร็ว ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง จะมีแรงเสียดทานและความร้อนที่เกิดขึ้นตามมาด้วย ซึ่งจะมีผลต่อความต้านทานต่อการสึกหรอ ทำให้อายุของยางลดลงตามไปด้วยการ เบรกและการออกตัว ในขณะที่รถยนต์วิ่งอยู่บนถนนจะเกิดแรงเฉื่อย ซึ่งมีค่าสูงกว่า ความเร็ว ดังนั้น เมื่อเบรกจนล้อหยุดหมุนแล้ว แรงเฉื่อยของตัวรถจะดันให้ล้อลื่นไถลไปกับพื้นถนน ทำให้ยางเกิดการสึกหรอ ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเร็วและระยะในการเบรกเป็นสำคัญ ส่วนการออกตัวอย่างรุนแรง ทำให้ล้อหมุนฟรี หน้ายางจะเสียดสีกับพื้นถนนอย่างหนัก ทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้นสภาพ รถยนต์ เช่น ช่วงล่างและศูนย์ล้อ มีผลอย่างมากกับการสึกหรอ ที่รวดเร็ว หากระบบศูนย์ล้อผิดพลาดไปจากสเปกของรถ จะทำให้เกิดแรงเสียดทานและลื่นไถลที่หน้ายางมากกว่าปรกติสภาพ ผิวถนน ผิวถนนยิ่งราบเรียบมาก ยางก็จะยิ่งสึกหรอช้า ใช้งานได้นานกว่าการขับรถบนถนนที่ขรุขระ เพราะความต้านทานต่อการหมุนบนถนนเรียบมีน้อยกว่า ยางจึงเสียดสีกับผิวถนนเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยแรง ที่น้อยกว่า นอกจากนี้ลักษณะเส้นทางก็มีผลเช่นกัน การขับขี่บนทางตรงจะเกิดการสึกหรอช้ากว่าการขับขึ้นเขา หรือขับบนถนนที่คดเคี้ยวสภาพอากาศ ยางรถยนต์มีส่วนผสมหลักเป็นยางธรรมชาติ จึงทนต่ออุณหภูมิสูงได้น้อยกว่ายางสังเคราะห์ ดังนั้น หากยางเกิดความร้อนมากขึ้นจากการใช้งาน ก็จะยิ่งส่งผลต่อการสึกหรอที่รวดเร็วและนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ ทำให้ยางของรถคุณสึกหรอ คงทำให้หลายคนหายสงสัยกันได้บ้างว่าการสึกหรอของยางนั้นมาจากสาเหตุใด

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

เอาชีวิตรอดได้อย่างไร เมื่อรถจมน้ำ




อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาตามแต่เหตุและปัจจัยของสถานการณ์จะนำไป บางครั้งโอกาสในการรอดชีวิตก็จะถูกขีดด้วยเส้น แบ่งบาง ๆ คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตรงนั้นได้ดีแค่ไหน


เป็นใครก็ต้องตกใจ


ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง สิ่งแรกคือ อาการตกใจ แต่การศึกษาข้อมูลและหมั่นฝึกใจให้มีสติอยู่เสมอจะทำให้คุณหาจากอาการตกใจเร็วกว่าคนที่ไม่เคยรู้หรือเตรียม ใจไว้ก่อน การคิดเร็วทำเร็ววินาทีต่อวินาทีมันจะเกี่ยวกับความเป็นความตายของคุณและคนในรถทั้งสิ้น หลังจากตั้งสติสงบจิตใจไว้ก่อน จากนั้นค่อยๆ ปลดเข็มขัดนิร ภัยตามด้วยเปิดเซ็นทรัลล็อคและกระจกไฟฟ้า โดยผลจากการวิจัยล่าสุดของหน่วยงานตำรวจทางหลวงประเทศสหรัฐอเมริการพบว่าอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ “ส่วนใหญ่” ในรถจะยังสามารถทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางน้ำได้อีกประมาณ 2 – 5 นาที และด้วยพื้นฐานของช่วงล่างที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำให้รถไม่จมน้ำในทันที เวลานี้นับเป็น นาทีทองที่การสละรถจะมีโอกาสรอดชีวิตสูง เพราะถ้าปล่อยเวลาผ่านไปแรงดันของน้ำที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ไม่สามารถเปิดประตูออกมาได้

เลือกทุบกระจกให้แตก

หากรถจมน้ำไปทั้งคัน อากาศภายในรถจะเป็นสิ่งที่หายไปเรื่อย ๆ ตามระดับความลึกของ น้ำ แต่ก็ไม่ควรเคลื่อนที่ตามอากาศโดยเด็ดขาด กล่าวคือรถในปัจจุบันส่วนใหญ่มักออกแบบ ให้เครื่องยนต์ซึ่งเป็นส่วนที่หนักที่สุดของรถอยู่ด้านหน้า เพราะฉะนั้นเวลาที่รถจมน้ำจะเป็นใน ลักษณะหน้าทิ่มลงพื้นก่อน บางคนจึงเลือกที่จะหนีไป ด้านหลังซึ่งมีอากาศเหลือมากกว่าการ กระทำแบบนั้นจะทำให้เสียเวลาและพลังงานไปอย่างเปล่าประโยชน์ เพราะสุดท้ายอากาศใน รถทั้งหมดก็จะหายไปอยู่ดี สิ่งที่ควร ทำถ้าไม่สามารถเปิดกระจกหรือเปิดประตูออกมาได้ก่อน รถจมลงไปทั้งคันก็คือ การทุบกระจกให้แตก โดยกระจกส่วนที่ทุบได้ง่ายที่สุดคือกระจกด้านข้าง สำหรับกระจก บังลมหน้าและหลังจะเป็นส่วนที่ทุบได้ยากที่สุดเพราะเป็นกระจกนิรภัย ทั้งนี้ 1 ในอุปกรณ์ที่ควรมีไว้ประจำรถนั่นคือ ค้อนเล็กๆ ที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษ (Emergency Hammer) ด้านหนึ่งสำหรับทุบ อีกด้านหนึ่งค่อนข้างคมไว้สำหรับตัดสายเข็มขัดนิรภัย หาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์รถยนต์ชั้นนำทั่วไป หรือไปเปิดดูในเวปต่างๆ ก็ได้

เมื่อกระจกแตกให้เตรียมตัวรับแรงกระแทกของน้ำโดยควรระมัดระวังเป็นพิเศษคือ ดวงตา เนื่องจากเศษกระจกที่แตกไปเมื่อครู่อาจลอยตามน้ำเข้ามาด้วย จากนั้นให้ มุดผ่านช่องกระจกรถออกไป สำหรับในกรณีที่เป็นตอนกลางคืนหรือน้ำลึกมากจนเกิดอาการหลงทิศ วิธีการแก้ปัญหาคือพยายามสังเกตฟองอากาศในน้ำว่าลอยไปในทิศ ทางใด จากนั้นให้ว่ายไปในทางทิศเดียวกันกับฟองอากาศก็จะทำให้ขึ้นสู่ผิวน้ำได้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม การขับรถควรใช้ความระมัดระวังที่สุด ข้อมูลที่คุณอ่ามาจนถึงบรรทัดนี้จะได้ไม่ต้องถูกนำมาใช้งาน

ด้วยความปราถนาดีจากพวกเรา Q4CAR  แหล่งรวบรวมรถมือสองดีๆ

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

GPS ของเล่น หรือ จำเป็น




Navigator หรือ GPS ไม่ว่าจะเรียกแบบใด ขอให้เข้าใจกันเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่าคือ ระบบแผนที่นำทาง ซึ่งในปัจจุบันเราเริ่มเห็นคนหันมาใช้งานกันมากขึ้น รวมถึงเริ่มมีผู้จำหน่ายมากมายพร้อมกับการอวดอ้างสรรพคุณการใช้งานได้อย่างล้นฟ้า ทั้งที่ความจริง เรารู้หรือไม่ว่า ประโยชน์ของการใช้งานมันเป็นอย่างไร


GPS คืออะไร



GPS ย่อมาจากคำว่า Global Positioning System คือระบบนำทางโดยอาศัยการระบุพิกัดตำแหน่งต่างๆ ที่อยู่บนโลกจากสัญญาณดาวเทียม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ประโยชน์จากระบบ Global Navigation Satellite System หรือดาวเทียมสำรวจซึ่งโคจรอยู่รอบโลก
จุดกำเนิดของเจ้า จีพีเอสเกิดจากความบังเอิญของนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาได้แอบติดตามการทำงานของดาวเทียมสปุตนิก ของโซเวียต ตั้งแต่เมื่อปี 1957 แล้วพบ การสะท้อนกลับของคลื่นไมโครเวฟ ระหว่างดาวเทียมและพื้นผิวโลก แน่นอนเมื่อเรารู้ตำแหน่งบนพื้นโลก เราก็สามารถระบุตำแหน่งของดาวเทียมบนอวกาศได้ ดังนั้นในทางกลับกันดาวเทียมก็สามารถระบุตำแหน่งต่างๆ บนพื้นโลกได้เช่นกัน เมื่อมันโคจรผ่านตำแหน่งนั้น
เมื่อรู้เช่นนี้จึงพัฒนาต่อมาเป็นระบบนำทางในชื่อ จีพีเอส โดยมีกองทัพเรืออเมริกานำไปใช้ทดลองนำทางเรือรบของตัวเองเป็นครั้งแรก แล้วพัฒนามาสู่การใช้งานแบบสาธารณะ

ทำงานอย่างไร

การทำงานของระบบจีพีเอส นั้นแสนง่ายดาย โดยเราขอทำความเข้าใจก่อนว่าจีพีเอส แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ฮาร์ดแวร์ หรือตัวเครื่องจีพีเอส และ ซอฟแวร์ หรือระบบปฏิบัติการ (เหมือนคอมพิวเตอร์)
ตัวเครื่องจะทำหน้าที่เป็นเครื่องรับสัญญาณดาวเทียม ส่วนระบบปฏิบัติการจะแสดงผลให้ทราบ คือเมื่อเราได้เจ้าตัวนำทาง GPS มา แค่เปิดเครื่องแล้วทำตามคำแนะนำของคู่มือ หรือจะถามจากพนักงานขายก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด โดยแต่ละรุ่นจะมีฟังก์ชั่นการทำงานยาก-ง่าย ซับซ้อนแตกต่างกัน

ประโยชน์ของเจ้าจีพีเอส คือ ความสามารถในการระบุตำแหน่งที่ตั้งต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เช่นตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันของเรา พร้อมทั้งแสดงแผนที่หรือนำทางไปยังจุดหมาย อย่างรวดเร็วโดยไม่หลงทาง แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับซอฟแวร์ด้วยว่า มีข้อมูลอัพเดตเพียงไร เนื่องจากมีถนนตัดใหม่เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ

นอกจากความสามารถในการระบุตำแหน่งแล้ว อนาคตระบบจีพีเอส ยังจะสามารถบอกถึงสภาพการจราจรและแนะนำเส้นทางที่โล่งให้แก่เราได้ อีกทั้งในทางทฤษฎีระบบจีพีเอสยังสามารถช่วยเราติดตามรถ หากเกิดกรณีถูกลักขโมยไป เพราะมันจะสามารถระบุตำแหน่งที่อยู่ได้อย่างชัดเจน (ให้ลองนึกถึงเวลาเครื่องบินตกแล้วมีการติดตาม หรือนาฬิกาบางยี่ห้อที่มีการนำระบบจีพีเอส นี้ติดตั้งไว้สำหรับกรณีขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน)


มีกี่แบบ



ปัจจุบันตลาดของเจ้า จีพีเอส นั้นมีผู้ผลิตอยู่หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งต้องแยกเป็น 2 ส่วนด้วยเช่นกันคือ ฮาร์ดแวร์ และซอฟแวร์

สำหรับฮาร์ดแวร์ มีหลายรูปแบบซึ่งพอแบ่งหลักๆ ได้เป็น 2 ชนิด แบบพอร์ตเทเบิ้ล คือพกพาไปไหนมาไหนได้ ซึ่งจะมีทั้งอยู่ในรูปแบบใช้งาน จีพีเอส อย่างเดียว เช่นยี่ห้อ การ์มิน(Garmin) ผู้นำตลาดในเมืองไทย ระดับราคาตั้งแต่ 1 หมื่น-2 หมื่นกว่าบาท หรือ แบบพีดีเอ (PDA) ใช้งานได้หลากหลายทั้งโทรศัพท์ เก็บข้อมูล อาทิ ยี่ห้อ อาซุส (Asus) ราคาประมาณ 2 หมื่นบาท เป็นต้น
และอีกชนิดเป็น แบบ 2DIN ติดตั้งสำเร็จในรถ พร้อมระบบมัลติมิเดียครบครัน วิทยุ-ซีดี-ดีวีดี เช่น ยี่ห้อ ไพรโอริตี้ และอัลไพน์ ราคาประมาณ 4 หมื่นกว่าบาท หรือติดตั้งสำเร็จรูปมากับรถยนต์ เช่นโตโยต้า คัมรี่ และฮอนด้า แอคคอร์ด รุ่นเนวิเกเตอร์ เป็นต้น

ส่วนซอฟแวร์ มีผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการแผนที่ในเมืองไทยอยู่ 2 เจ้าหลัก บริษัท ซอฟต์แม็บ(Soft map) และบริษัท อีเอสอาร์ไอ (ESRI) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแต่ละฮาร์ดแวร์เป็นผู้เลือกใช้ โดยเมื่อซื้อแล้วเราสามารถเข้าไปอัพเดตข้อมูลแผนที่ใหม่ๆ ได้ทุกปี หรือตามแต่เราต้องการ

ทั้งนี้อาจจะฟรีหรือต้องมีเสียค่าบริการบ้างประมาณครั้งละ 1-2 พันบาท แล้วแต่ข้อตกลงระหว่างกันของผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ โดยก่อนซื้อเราสามารถสอบถามกับผู้จำหน่ายได้โดยตรงถึงการบริการตรงจุดนี้

ด้านความนิยมสอบถามจากผู้ใช้หลายท่าน ซอฟแวร์ ของ ESRI จะดูง่าย,ชัดเจนและมีรายละเอียดมากกว่า รวมถึงรูปแบบการแสดงผลหลากหลาย พร้อมทั้งเวอร์ชั่นถนนตัดใหม่อัพเดตล่าสุดตามความเป็นจริง จากการเดินสำรวจตลาดพบว่า ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ซอฟแวร์ของ ESRI จะมีราคาสูงกว่าพอสมควร



เห็นประโยชน์หลายหลากของเจ้าระบบจีพีเอส แล้วหลายท่านคงนึกว่า มันต้องจำเป็นแน่นอน แต่จากการทดลองใช้ ทำให้เราพบว่า หากเป็นเส้นทางคุ้นเคยหรือรู้อยู่แล้ว เจ้าจีพีเอสไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ซึ่งจะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงหากเรากำลังจะเดินทางไปในจุดที่ไม่เคยไปมาก่อน เจ้าจีพีเอสจะมีประโยชน์อย่างมาก และจะขาดไม่ได้หากเป็นการเดินทางในถนนเปลี่ยวหรือกลางค่ำกลางคืน ไม่อาจสอบถามใครได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับซอฟแวร์อัพเดตข้อมูลถนนใหม่ๆ ครบถ้วนด้วย

“ไม่จำเป็น สิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ ก่อนเดินทางไปไหนจะสอบถามและศึกษาเส้นทางจากผู้รู้อยู่แล้ว ทำไมเราต้องเสียเงินหลายพันบาทเพื่อซื้อเครื่องมือนำทางด้วย ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้แต่อย่างไร แผนที่อยู่ที่ปาก” หนึ่งเสียงสำหรับคนไทยผู้ใช้รถยนต์เดินทางเป็นประจำและไม่คิดจะใช้จีพีเอส

ขณะที่อีกหนึ่งความเห็นจากผู้ที่ซื้อจีพีเอสมาใช้เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วบอกว่า “จำเป็น และมีประโยชน์มาก เพราะเราสามารถเดินทางไปได้ทุกแห่งที่อยากไป และหากเกิดปัญหาจีพีเอสก็ช่วยได้ อย่างเช่นเมื่อเร็ว ๆ นี้รถยางแตกตอนกลางคืนผมก็ใช้ระบบนี้เพื่อหาร้านซ่อมว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งผมก็ไม่ผิดหวัง ”

“จีพีเอสของผมซื้อมา 2 ปีแล้ว ยี่ห้อ การ์มิน ใช้ง่ายที่สุด ยิ่งเวลาเราไปต่างจังหวัด เราจะรู้ทางลัด สะดวก ประหยัดเวลาและน้ำมันเชื้อเพลิง หรือถ้าเจอด่านจับความเร็ว เราก็เซ็ทเอาไว้ครั้งหน้าเวลาเดินทางมาอีกมันจะเตือนว่ามีด่านข้างหน้า ...โดยรวมถือว่าใช้คุ้มมากๆ กับราคา 1.4 หมื่นบาท(ราคาตอนที่ซื้อ) เทียบกับลำโพงชุดนึงมันคุ้มมากกว่าหลายเท่า ปัจจุบันคนเริ่มหันมาใช้แบบ PDA กันมากขึ้นเนื่องจากใช้ได้หลายแบบแถมเก็บข้อมูลมากขึ้น”

สุดท้ายสำหรับคนที่สนใจต้องลองถามตัวเองให้ชัดเสียก่อนว่า มีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร และจะใช้งานมันคุ้มค่ามากแค่ไหน แล้วคุณจะไม่เสียเงินเปล่า?

ข้อมูลดี ๆ ที่ทางเรา Q4CAR แหน่งรวบรวมรถยนต์มือสอง

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข้อปฏิบัติเมื่อยางระเบิดในขณะเวลาขับรถ..!!







เมื่อยางรถยนต์ของท่านเกิดระเบิดขณะที่ท่านขับขี่รถยนต์อยู่บนท้องถนน เราจะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแก่ตัวท่านเองและต่อผู้คนที่ใช้รถบนท้องถนน วันนี้จึงนำข้อควรปฏิบัติมาแนะนำให้ทุกๆท่านได้อ่านเพื่อเป็นความรู้เล็กๆน้อยๆ และเพื่อความปลอดภัยของทุกๆท่าน


หากยางระเบิดในขณะขับรถ ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
  1. ควบคุมสติให้ดี แล้วมองกระจกหลังเพื่อดูว่ามีรถตามมาหรือไม่
  2. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
  3. ถอนคันเร่งออก
  4. แตะเบรกเบาๆ ถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
  5. ห้ามเหยียบคลัตซ์โดยเด็ดขาด เพราะถ้าเหยียบคลัตซ์ รถจะไม่เกาะถนน แต่จะลอยตัว ทำให้บังคับรถได้ยากขึ้นจนอาจเสียหลัก เนื่องจากการเหยียบคลัตซ์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ให้ขาดจากเพลา
  6. ห้ามดึงเบรกมือเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
  7. เมื่อความเร็วลดลงพอประมาณแล้ว ให้ยกสัญญาณไฟเลี้ยวเข้าข้างทางซ้ายมือ
  8. เมื่อความเร็วลดลงในระดับควบคุมได้ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลง และหยุดรถ


ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิด ล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้ายรถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อน แล้วจะสบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกทีสลับกันไปมา และหากล้อระเบิดด้านขวา อาการก็จะกลับเป็นตรงกันข้าม หากยางระเบิดในขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง จะทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ เพราะรถจะพลิกคว่ำทันที ความเร็วขณะขับขี่ที่ถือว่าปลอดภัยใน Defensive Driving คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
จะเห็นได้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ หากผู้ขับขี่ประมาทหรือขาดสติ เพราะฉะนั้นควรขับขี่อย่างมีสติ ปฏิบัติตามกฏจราจรอย่างเคร่งครัด และมีน้ำใจให้กันและกัน เพียงเท่านี้ก็ลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้

เกร็ดความรู้เล็กที่ทางเรา Q4CAR แหล่งรวบรวมรถยนต์มือสอง

วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

โอเวอร์ฮีท!!...ป้องกันได้



การเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้รถยนต์เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น รถเก่าหรือรถมือสองที่ผ่านการปรับแต่งหรือการใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพต่ำ เช่น สายไฟไม่ได้มาตาตรฐานจนทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ชิ้นส่วนอะไหล่มีขนาดใหญ่เกินไป


และหากผู้ขับขี่ไม่ดูแลเอาใจใส่เครื่องยนต์ ส่งผลให้ระบบหล่อเย็นไม่สามารถระบายความร้อน ทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัดหรือที่เรียกกันว่าโอเวอร์ฮีท (OVERHEATED) และเกิดเพลิงไหม้ได้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอแนะวิธีป้องกันเครื่องยนต์ร้อนจัด ดังนี้

ก่อนขับขี่ ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำในหม้อน้ำ หากเป็นรถใหม่ควรตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่วนรถที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี ควรตรวจสอบ 2 - 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หมั่นเติมน้ำสะอาด และถ่ายน้ำในหม้อน้ำทิ้งทุก 4 - 6 เดือน เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกหรือตะกอนตกค้าง ทำให้หม้อน้ำอุดตัน พร้อมตรวจสอบระบบต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ ดังนี้ สายพานเครื่องยนต์ไม่หย่อนหรือตึงเกินไป พัดลมระบายความร้อนอยู่ในสภาพที่ ใช้งานได้ดี ไม่แตกหักหรือบิดงอ หากตรวจพบรอยรั่วตามจุดต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ เช่น ท่อยางหม้อน้ำ ครีบรังผึ้งระบายความร้อน ปั้มน้ำ เป็นต้น ควรให้ช่างที่มีความชำนาญการดำเนินการซ่อมแซมทันที

ขณะขับขี่ ผู้ขับขี่สามารถสังเกตอาการเครื่องยนต์ร้อนจัดได้จากเข็มวัดอุณหภูมิที่หน้าปัด โดยปกติเข็มวัดอุณหภูมิจะอยู่ระหว่างตัว C และ H หรือ 85 - 90 องศาเซลเซียส หากเข็มวัดอุณหภูมิเคลื่อนมาอยู่ใกล้ตัว H แสดงว่าเครื่องยนต์ร้อนจัด ให้รีบปิดแอร์เพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์และนำรถจอดเข้าข้างทางในบริเวณที่ปลอดภัยในทันที และรีบเปิดฝากระโปรงรถเพื่อระบายความร้อนออกจากห้องเครื่อง

แต่หากมีไอน้ำพุ่งขึ้นมาจากฝากระโปรงรถ ควรรอจนความร้อนของเครื่องยนต์ลดลง แล้วจึงค่อยเปิดฝากระโปรงรถ ไม่เปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะไอน้ำอาจพุ่งขึ้นมาจนทำให้บาดเจ็บได้ และห้ามราดน้ำที่เครื่องยนต์ เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เสียหาย ในขณะเปิดฝาหม้อน้ำควรนำผ้าหนาๆ มาคลุมหรือวางบนฝาหม้อน้ำ กรณีที่น้ำในหม้อน้ำเหลือน้อยหรือหมด ควรรอจนเครื่องยนต์เย็นลง แล้วจึงค่อยเติมน้ำเปล่าหรือน้ำยาหล่อเย็นอย่างช้าๆจนเต็ม และปิดฝาหม้อน้ำให้สนิท

จากนั้นให้ลองสตาร์ทเครื่องยนต์ให้เดินเบา เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของเครื่องยนต์ หากพบรอยรั่วซึมควรแจ้งช่างผู้ชำนาญการดำเนินการซ่อมแซมทันที เพื่อป้องกันเครื่องยนต์ร้อนจัด จนเป็นสาเหตุให้เกิดเพลิงไหม้รถ

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

เกียร์มีเสียงดัง

เกร็ดความรู้เล็ก ๆ จาก Q4CAR แหล่งรวมรถยนต์มือสอง