วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Volvo โชว์เหนือสั่งรถหาที่จอดเอง







     Volvo บริษัทผลิตรถยนต์ชื่อดังนำเสนอเทคโนโลยีต้นแบบสามารถสั่งการให้รถยนต์ของคุณขับไปหาที่จอดเองพร้อมขับมายังจุดที่คุณอยู่ได้โดยอัตโนมัติผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนที่เชื่อมกับรถยนต์ Volvo

     เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับกำลังเป็นเป้าหมายของหลายบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รวมถึง Google ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่ง Volvo หนึ่งในบริษัทชั้นนำก็ได้นำเสนอเทคโนโลยีต้นแบบที่มีเซนเซอร์ชนิดพิเศษฝัง อยู่ในตัวรถพร้อมเชื่อมการทำงานกับแอพพลิเคชั่นเฉพาะบนสมาร์ทโฟนสามารถสั่ง การให้รถยนต์ Volvo ขับไปหาที่จอดรถเองตามจุดที่มีเซนเซอร์ที่ถูกฝังอยู่บนถนนเรียกว่า “Vehicle 2 Infrastructure” ได้แบบไม่ต้องใช้คนขับแต่อย่างใด นอกจากการหาที่จอดอัตโนมัติแล้ว เทคโนโลยีของ Volvo ยังสามารถสั่งการให้ขับออกจากที่จอดรถเพื่อมารับคุณ ณ ตำแหน่งที่่อยู่ตอนนั้นได้ แถมยังมีเทคโนโลยีเบรคอัตโนมัติสำหรับหลบสิ่งกีดขวางไม่ว่าจะเป็นคนเดินข้าม ถนน หรือรถที่จอดอยู่ข้างหน้าได้

    โดย Thomas Broberg ที่ปรึกษาอาวุโสด้านความปลอดภัย ของ  Volvo กล่าวว่า แนวคิดของระบบจอดรถอัตโนมัตินี้เพื่อเป็นการลดเวลาในการหาที่จอดรถ ซึ่งจุดมุ่งหมายต่อไปของ Volvo คือการพัฒนาระบบให้มีความสมบูรณ์และปลอดภัยสูงสุดก่อนเปิดตัวรถยนต์ The All-New Volvo XC90 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีดังกล่าวในปลายปี 2014

 

ข่าวสารรถยนต์มากมาย >> แวดวงรถยนต์ 

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การพัฒนาของมิจฉาชีพ


การขโมยในรถยนต์ส่วนมาก และเกือบทั้งหมดจะถูกต่อร่วมกับวงจรแตรและไฟเลี้ยว เวลากดรีโมทควบคุมในการทำงานแต่ละครั้งนั้น ก็จะมีการกระพริบของไฟเลี้ยว พร้อมกับเสียงแตรหรือเสียงไซเรน เพื่อให้ทราบว่าได้มีการทำงานของระบบเกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นรถยนต์ที่มีระบบกันขโมย ย่อมตกเป็นเป้าหมายของพวกหัวขโมยอยู่ดี ดังมีตัวอย่างมาเล่าให้ฟังกันครับ

เรื่องมีอยู่ว่า รถยนต์คันหนึ่งได้ติดตั้งระบบกันขโมยจากร้านประดับยนต์ทั่วไป การใช้งานทั่วไปก็เหมือนกันขโมยทั่วๆไป บางรุ่นอาจมีลูกเล่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นล็อค-ปลดล็อค, มีไฟ-ไม่มีไฟ, มีเสียง-ไม่มีเสียง หรือ แม้กระทั่งส่งเสียงร้องที่ใช้ในการค้นหา เป็นต้น หลายท่านยังเข้าใจว่าเป็นระบบที่ไว้ใจได้ อยู่มาวันหนึ่งได้มีหัวขโมย ทำการขโมยรถไป ทั้งๆ ที่จอดรถอยู่หน้าบ้าน ก็มีคำถามว่ามันหายไปได้อย่างไร ?

ปัจจุบันนี้ หรือ เดี๋ยวนี้หัวขโมยมีฝีมือในการขโมยที่เหนือชั้น โดยการทำให้ระบบสัญญาณแตรและไฟเลี้ยวเกิดการลัดวงจร (ช็อต) จะทำให้ฟิวส์ขาด เลยทำให้ระบบป้องกัน (ในรูปของการแจ้งเตือน) ไม่มีการทำงาน ดังนั้น จึงทำให้เจ้าของรถ ไม่สามารถทราบได้ว่ารถยนต์ได้ถูกบุกรุก และถูกโจรกรรม

สิ่งที่กล่าวมานั้นเกิดขึ้นมาแล้วหลายราย รถยนต์แต่ละคันกว่าจะได้มาแสนยากลำบาก เมื่อสูญหายก็ต้องมีความเสียใจ สำหรับบางท่านที่กำลังผ่อนอยู่ถึงขั้นประสาทเสียก็มีอยู่ไม่น้อย อย่างไรแล้วในการติดตั้งอุปกรณ์กันขโมยของร้านประดับยนต์ทั่วไปก็ขอให้พิจารณาให้ดี ถึงแม้ว่าจะมีราคาต่ำกว่าของที่ติดตั้งมาจากโรงงานประกอบหลายเท่าตัวก็ตาม

และในโอกาสนี้ ขอแนะนำระบบกันขโมยที่เหนือชั้นของโตโยต้าไม่ว่าจะเป็นระบบ TVSS, TDS รวมถึงระบบ immobilizer (มีชิพหรือโค๊ดในกุญแจ) โดยทางโตโยต้า เล็งเห็นถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งระบบกันขโมยของโตโยต้า จะทำงานยามที่ถูกบุกรุก ไม่ว่าจะเป็น

ประตูบานใด บานหนึ่ง ฝากระโปรงท้าย หรือ ฝากระโปรงหน้าถูกเปิดออก ในกรณีเข้ารถโดยผิดวิธี
สวิทช์สตาร์ท ถูกบิดไปตำแหน่ง ON โดยไม่ใช่กุญแจประจำรถ
ปลดและต่อสายแบตเตอรี่ หรือ ชุดกล่องควบคุม
การทุบ หรือ การเขย่ารถอย่างรุนแรง
หากมีบุคคลใด พยายามทำความเสียหาย ระบบจะสั่งให้ส่งสัญญาณเตือน หากหัวขโมยเข้าไปในรถได้โดยที่ไม่มีสัญญาณเตือน (ขโมยทำให้ระบบเกิดการช็อต) จากนั้นหัวขโมยต้องการใช้กุญแจในการสตาร์ท หรือ ต่อตรง จะไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติดได้ เพราะระบบ immobilizer จะทำงานโดยอัตโนมัติ ซึ่ง ณ ที่นี้ ไม่สามารถจะอธิบายการทำงานของระบบได้ อาจตกเป็นเป้าหมายของพวกมิจฉาชีพที่จะนำข้อมูลไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมได้

ระบบดังกล่าว ถูกบังคับในรุ่นที่กำหนดให้มีมาจากโรงงานเท่านั้น ส่วนในรุ่นที่ไม่มีแล้วต้องการจะมีไม่สามารถทำได้ ยกเว้น อุปกรณ์ตกแต่งที่เป็น TVSS เท่านั้น ส่วนระบบ immobilizer จะไม่สามารถติดตั้งได้ เพราะทั้งหมดได้ติดตั้งมาจากโรงงานประกอบเท่านั้น ซึ่งส่วนมากจะเป็นรุ่นเกรดที่สูง ที่เรียกกันว่า ตัว “TOP” หรือ บางครั้งเป็นรุ่นพิเศษ เป็นต้น ดังนั้น ในการตัดสินใจซื้อรถ คงมีหลายปัจจัยมาประกอบในการพิจารณาครับ

ตามที่กล่าวมานั้น และตามหัวข้อเรื่อง จุดประสงค์ คือว่า “อย่าประมาท” พวกมิจฉาชีพเป็นอันขาด เพราะพวกนี้จะมีพรสวรรค์ในทางที่ไม่ดี และอีกอย่างอย่าเชื่อมั่นกับอุปกรณ์กันขโมยที่ติดตั้งเพิ่มเติมจากร้านประดับยนต์ทั่วไปมากไปนัก ดังที่กล่าวมาตั้งแต่ตอนต้น และวิธีที่หัวขโมยทำให้ระบบช๊อตกันนั้น กำลังเป็นที่นิยมอีกด้วยครับ

โอกาสหน้า หากมีข้อความที่เป็นประโยชน์กับผู้ใช้รถยนต์ จะรีบนำเสนอให้ทราบโดยด่วน เพราะ “ลูกค้าคือหัวใจ พิธานใส่ใจให้บริการ” อย่าลืมติดตามบทความ-ข่าวสาร ของทีมงานเรากันอีกนะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ

จากเรา Q4CAR

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เข็มขัดนิรภัย..ใช่เลย



รถยนต์ทุกคันตั้งแต่มีการผลิตเกิดขึ้นมานั้น มีสิ่งต่างๆที่จำเป็นมากมายไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็น, อุปกรณ์ทางด้านความปลอดภัยและอุปกรณ์อื่นๆ ยิ่งเป็นสมัยนี้ผู้ผลิตได้คำนึงถึงความปลอดภัยค่อนข้างจะมาเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น ในรถยนต์จำเป็นที่จะต้องติดตั้งมีไว้สำหรับการใช้งานและในครั้งนี้ขอกล่าวถึงคือ “เข็มขัดนิรภัย”

ในเมื่อกล่าวถึงเข็มขัดนิรภัย ผู้ขับขี่หรือท่านเจ้าของรถทุกท่านคงนึกภาพออก เพราะในการเดินทางแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารจำเป็นที่จะต้องมีการคาดเข็มขัดนิรภัย หากไม่กระทำนอกจากจะไม่ปลอดภัยกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้ว ทางด้านขอบังคบของกฎจราจรก็มีการควบคุมเช่นกัน มิฉะนั้นอาจถูกดำเนินการหรือเจ้าหน้าที่เรียกจับ-ปรับได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งหากมีการเดินทางด้วยรถยนต์

เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์แต่ละเกรดรุ่น จะมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการออกแบบของรถยนต์รุ่นนั้น บอกกับความจำเป็นในรถยนต์รุ่นนั้น หากแต่ผู้ใช้รถยนต์เคยใช้รถในลักษณะที่มีเข็มขัดนิรภัยประเภทเดียวกันก็อาจจะไม่มีความแตกต่างกัน เว้นแต่เข็มขัดนิรภัยไม่ใช่ประเภทเดียวกัน สำหรับรถยนต์บางรุ่นการทำงานของเข็มขัดได้มีการเชื่อมโยงหรือเกี่ยวเนื่องกับระบบถุงลมนิรภัยอีกด้วย ดังนั้นควรศึกษาเพิ่มเติมในรถยนต์รุ่นนั้นๆไว้ด้วยก็ยิ่งดีมากขึ้นเพราะจะมีเงื่อนไขต่างๆระบุไว้

เข็มขัดนิรภัย ก็เป็นชิ้นส่วนหนึ่งของรถยนต์ ย่อมจะมีการดูแลรักษาของชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์บ้างชิ้นของรถยนต์ จะต้องมีการเปลี่ยนตามอายุการใช้งาน ไฉนเลยเพียงแค่เข็มขัดนิรภัยควรมีความเอาใจใส่กันไว้บ้าง ซึ่งเจ้าของรถยนต์ส่วนมากก็ยังมองข้ามตรงจุดนี้กันอยู่ไม่น้อยทีเดียว จริงอยู่ว่าความเสียหาย การสึกหรอที่จะเกิดขึ้นกับเข็มขัดนิรภัยนั้นค่อนข้างยาก แต่อย่าลืมนะครับหากปล่อยปะละเลย อาจจะสึกหรอเสียหายเร็วก็เป็นได้เช่นกัน

เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์บางคันจะเห็นได้ว่า จะมีการผลิกกลับด้าน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อถูกใช้งานในจังหวะดึงกลับหรือย้อนกลับจะมีการเลื่อนตัวของตัวล๊อคเข็มขัด ดังนั้นในจังหวะนี้สามารถที่จะผลิกกลับได้นั้นเอง วิธีการที่จะแก้ไขนั้นถือว่ายากเหมือนกัน(ถ้าไม่รู้) บวกกับช่องว่างระหว่างร่องเลื่อนนั้นมีขนาดที่เล็ก ทำให้มองว่าต้องถอดน๊อตยึดออกมาเพื่อผลิกด้านตรงปลายสายเข็มขัดนิรภัย แต่ในความจริง จะไม่สามารถถอดกระทำได้ จะต้องทำการผลิตเฉพาะตัวสายเข็มขัดเท่านั้น หากไม่สามารถกระทำด้วยตนเองได้ให้ปรึกษาช่างเทคนิคจะดีมากขึ้น(ขนาดช่างบางคนยังใช่เวลาที่นาน) และที่กล่าวมาก็เป็นกรณีที่พบบ่อย

อันดับต่อมาในเรื่องของขอบเข็มขัดนิรภัยเสียหาย (เป็นขุย) สาเหตุอาจมาจากการเคลื่อนตัวที่ไม่สมบูรณ์หรืออาจจะติดขัดหรือใช้งานอย่างรุนแรง ก็เท่ากับว่ามีความเสียหายก่อนเวลาอันควร (รถบางคันเข็มขัดนิรภัยยังดีอยู่) ดังนั้นขอให้ผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านเอาใจใส่ เพียงแค่ทำความสะอาดเข็มขัดนิรภัยบ้าง จะพบว่าการเคลื่อนตัวของเข็มขัดนิรภัยเหมือนเดิม ใช้งานได้เป็นปกติ นอกจากนั้น เครื่องแต่งกายเสื้อผ้าก็ไม่เปรอะเปื้อนที่เป็นผลมาจากเข็มขัดนิรภัยที่มีความสะอาดนั้นเองครับ หากท่านเจ้าของรถยนต์ทุกท่านมีความเอาใจต่อรถยนต์ของท่านไม่เว้นแต่เข็มขัดนิรภัย เชื่อเหลือเกินว่าคงเกิดความพอใจในรถยนต์ที่ท่านผู้อ่านได้ใช้งานทุกท่านครับ

จากเรา <a class="postlink" href="http://www.q4car.com/รถยนต์มือสอง">Q4CAR</a>

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สำหรับนักขับมือใหม่


 เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า รถยนต์เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ในยุคปัจจุบัน เปรียบเทียบได้เหมือนกับว่าเป็นปัจจัยที่ 5 ก็ไม่ผิด การเดินทางส่วนใหญ่ของมนุษย์ไม่ว่าจะประเทศไหนในโลก จะใช้รถยนต์มากกว่าการเดินทางโดยพาหนะประเภทอื่น และที่มากไปกว่านั้นก็คือมนุษย์ก็มีความต้องการที่สะดวกสบายด้วยกันทั้งนั้น

ดังนั้น การที่จะเสาะหารถยนต์มาเพื่อการใช้งานสักคันหนึ่งนั้น  ถือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดาของมนุษย์
     โอกาสของทุกๆคนที่จะมีรถยนต์ไว้ใช้หรือสิ่งของอย่างอื่นนั้น มันไม่ยาก “หากมีเงิน” ( มักพูดกัน ) แต่สำหรับคนที่เบี้ยน้อยหอยน้อยก็ต้องมีการพิจารณาให้ดีและถี่ถ้วนว่า  เหมาะสมกับตนเองมากน้อยแค่ไหนเป็นต้นว่า ราคาของรถยนต์, การใช้งานที่คุ้มค่า, ภูมิประเทศเป็นอย่างไร  และอื่นๆ

หากมีการตัดสินใจซื้อมาแล้วนั้น  ก็จะต้องเอาใจใส่ในรถยนต์ของตนเองแน่ๆ แต่ถึงกระนั้นอยากจะบอกว่ารถยนต์สมัยใหม่นั้น  มีเทคโนโลยี่ที่สูงมากบวกกับท่านเจ้าของรถยนต์ที่เป็นมือใหม่(ขออนุญาตนะครับ)  อาจจะมีความเข้าใจที่ไม่มากนัก สิ่งที่กระทำได้หากมีรถยนต์อยู่ในความครอบครองแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นการล้างรถ, การดูดฝุ่น, การเคลือบเงา  คงจะทำกันได้แน่ๆ  แต่ถ้าเป็นการบำรุงรักษารวมถึงการตรวจเช็คนั้นคงเป็นไปได้ยาก เรียกได้ว่าต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้โดยเฉพาะ   ดังนั้น ในการนี้เพื่อให้นักขับมือใหม่ได้สังเกตเบื้องต้นในรถยนต์ของตนเอง  พอที่จะสรุปเป็นภาพรวมอย่างง่ายๆได้ดังต่อไปนี้

     ขณะยังไม่มีการขับขี่หรือจอดอยู่กับที่และไม่มีการติดเครื่องยนต์
          ให้สังเกตบริเวณใต้ท้องของรถยนต์ว่า  มีอะไรติดอยู่ใต้ท้องรถยนต์หรือไม่, ใต้ท้องรถเหมือนกับตอนที่ยังเป็นรถใหม่อยู่หรือไม่, จากนั้นให้มองไปยังที่พื้นที่จอดรถยนต์อยู่ว่า  มีสิ่งใดมาอยู่ตรงบริเวณนั้นหรือหยดตรงบริเวณนั้นหรือไม่

     อันดับต่อไปในขณะทำการติดเครื่องยนต์และเครื่องยนต์ติดแล้ว
          ให้สังเกตไฟโชว์ต่างๆบนมาตรวัดขึ้นมาครบทุกดวงหรือไม่  และจะต้องดับลงเมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว  เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วสังเกตเสียงดังที่มาจากเครื่องยนต์รวมถึงการเปิดระบบปรับอากาศด้วยว่า  เสียงที่ได้ยินเหมือนกับที่ตอนเป็นรถใหม่หรือไม่

     อันดับต่อไปจังหวะของการเคลื่อนตัวของรถยนต์ออกจากจุดหยุดนิ่ง
          ให้สังเกตการบังคับเลี้ยว, การเบรก, เสียงดังและอื่นๆ ในขณะออกตัว ว่าเป็นเหมือนที่ตอนยังเป็นรถใหม่หรือไม่ ( หากมีการใช้งานในระดับหนึ่งแล้วอาจจะไม่เหมือนเดิมเสมอไป ) ตรงจุดนี้อาจยกเว้น

     อันดับต่อไปในขณะทำการขับขี่
       ให้สังเกตเหมือนกับการออกตัวครับแต่มีอีกสิ่งหนึ่งคือ  ไฟโชว์บนมาตรวัดตลอดจนเกจวัดต่างๆ ว่ามีการแสดงที่ผิดปกติไปจากเดิมหรือไม่  เพราะถ้าไม่เหมือนเดิมแสดงว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ

     อันดับสุดท้ายหลังจากใช้งานมาจนถึงการดับเครื่องยนต์
         ให้สังเกตตั้งแต่รถยนต์จอดสนิทแล้วทำการดับเครื่องยนต์ ว่าผิดกับตอนที่เป็นรถใหม่หรือไม่อย่างไร  ไม่ว่าจะเป็นในรูปของเสียงและในรูปแบบของการสันสะเทือน

     ตามที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นนั้น  จะเน้นย้ำให้กับนักขับที่มือใหม่  ซึ่งอาจจะยังไม่มีความเคยชินกับตัวรถยนต์มากนัก  จะเห็นได้ว่านอกจากจะมีการสังเกตที่ดีแล้ว  ยังสามารถที่จะอธิบายสิ่งที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวรถยนต์ได้ในระดับที่น่าพอใจทีเดียว  การสังเกตดังกล่าวก็ไม่ได้ยากจนเกินไปนัก  แล้วยิ่งรถยนต์สำหรับนักขับมือใหม่นั้น  ยังอยู่ในระยะรับประกันยิ่งจะต้องชี้แจงปัญหาให้ตรงจุด  เพื่อการวิเคราะห์ของศูนย์บริการที่ถูกต้องชัดเจนนั่นเองครับ

เป็นความรู้เล็กๆ จากทางเรา <a class="postlink" href="http://www.q4car.com/รถยนต์มือสอง">Q4CAR</a>

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทุบกระจกรถ (อีกแล้ว)


ล่าสุดเกิดขึ้นที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองหลวง

ไม่ว่าจะช่วงนี้หรือช่วงไหนๆ  มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการทุบกระจกรถยนต์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่เพียงแต่ในกรุงเทพมหานครเท่านั้น  ต่างจังหวัดก็เกิดเหตุการณ์อย่างนี้เช่นเดียวกัน  และไม่เลือกสถานที่อีกต่างหากไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าหรืออาคารจอดรถหรือแม้กระทั่งจอดอยู่หน้าบ้านก็ตาม  ถึงแม้ว่าจะมีกล้องวงจรปิดหรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ตามโอกาสที่เป็นไปได้ทั้งหมด

   พวกมิจฉาชีพเหล่านั้นสายตาของเขาจะคอยหารถยนต์เป้าหมายที่มีทรัพย์สินมีค่าอยู่ภายในรถ เช่นกระเป๋าสตางค์, เครื่องคอมพิวเตอร์, กล้องถ่ายรูป, และอื่นๆ  หลังจากนั้นก็จะทำการลงมือ อาจจะกระทำเพียงแค่คนเดียวหรือมีต้นทางคอยดูเจ้าของรถ  นั่นก็หมายความว่ามีมากกว่าหนึ่งคน  เมื่อสบโอกาสแล้วก็จะทำการทุบรถทันที ส่วนที่จะใช้อะไรทุบนั้นผู้เขียนไม่ทราบครับ  แล้วส่วนใหญ่ก็จะทำการทุบกระจกทางด้านมุมอับที่ไม่มีใครเห็นนั่นเอง

   สิ่งที่เจ้าของรถต้องพึงระวังกันให้มากๆ  ถึงแม้ตัวรถยนต์ของท่านจะมีระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้นหรือแม้แต่มีความที่น่าเชื่อถือได้เท่าไหร่ก็ตาม  ไม่มีการยกเว้น  เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขาเหล่านั้นอยู่ในละแวกนี้ได้เลย   เขาผู้นั้นอาจจะมีอุบายโดยที่เราไม่คาดคิดไปมากกว่าการทุบกระจกก็เป็นไปได้อีก  ฉะนั้นท่านเจ้าของรถขอให้คิดทางด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินกันไว้ด้วยครับ

เตือนภัยเพื่อความปลอดภัย Q4CAR

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เตือนภัยหญิงขับรถคนเดียว อุบายจยย.เฉี่ยวชน



พ.ต.ท.แพทย์หญิง อัญชุลี ธีระพงษ์ไพศาล รองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนผ่านทางหมายเลข 1197 ของทาง บก.02 กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ว่า มีมิจฉาชีพขี่รถจักรยานยนต์ทำทีเฉี่ยวชนรถยนต์ระหว่างจอดติดไฟแดงตามแยกต่างๆ โดยมักเลือกเหยื่อเป็นผู้หญิงขับมาคนเดียว เมื่อเหยื่อติดกับจะข่มขู่เรียกร้องค่าเสียหายและอาจทำอันตราย จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง หากพบเหตุการณ์อย่าลงจากรถให้กดล็อกประตูแล้วโทรศัพท์ตามประกันรถยนต์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ที่เบอร์ 1197 หรือ 191 หากคู่กรณีต้องการเจรจาให้ลดกระจกลงเล็กน้อยและพูดคุยเท่านั้น จนกว่าเจ้าหน้าที่ประกันภัยรถหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจมา เพื่อความปลอดภัย


ด้วยความเป็นห่วงจากทางเรา Q4CAR

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปรับกระจกมองข้าง กับ กระจกมองหลัง


บ่อยครั้งในการขับขี่รถยนต์จะต้องมีการเปลี่ยนช่อง (เลน) การเดินรถ  เกิดอาการตกใจ เนื่องจากไม่เห็นรถที่ขับตามมา หรือ รถที่อยู่ทางด้านข้าง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการมองไม่เห็น นั่นก็คือ “มุมอับ” สภาวะมุมอับที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลถึงการเกิดอุบัติเหตุ ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุ นำพาซึ่งความสูญเสีย ไม่ว่าในเรื่องของเวลา, อารมณ์, ทรัพย์สิน หรือ บางครั้งรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตการป้องกันก็ยังพอมีวิธีอยู่บ้าง แต่อาจจะฝืนความรู้สึกของผู้ขับขี่ เพราะความเคยชินของผู้ขับขี่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว และที่จะกล่าวถึงในบทความฉบับนี้นั้น มีด้วยกัน 2 วิธี

วิธีที่ 1     การปรับกระจกมองข้าง

ในการปรับกระจกมองข้าง ให้กระทำทั้ง 2 ข้าง (ซ้ายและขวา) วิธีปรับให้ปรับกางออกไปให้ตั้งฉากกับตัวรถ การปรับเช่นนี้จะได้มุมมองที่กว้างขึ้น ขนานไปกับตัวรถ ซึ่งจะทำให้เห็นรถที่อยู่ทางด้านข้างและรถที่อยู่ทางด้านหลังมากขึ้น แต่ท่านจะเห็นมุมด้านข้างของรถที่ขับขี่อยู่น้อยลง อาจจะไม่ชินในระยะแรกๆ แต่พอนานไปท่านจะชินมากขึ้น และก็จะปลอดภัยมากขึ้นตามลำดับรถยนต์บางรุ่นของโตโยต้า ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ ลดมุมอับ มาจากโรงงานให้อยู่แล้วโดยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งมาพร้อมกับกระจกมองข้าง ตรงนี้อาจยกเว้น

วิธีที่ 2     การเลือกใช้กระจกมองหลัง

ก่อนอื่น ขอกล่าวย้อนหลังไปสัก 20 ปี รถยนต์สมัยก่อนผู้ผลิตรถยนต์ หรือ รถยนต์ที่ออกมาจากโรงงานประกอบ ไม่ว่าจะเป็นรถญี่ปุ่น หรือ รถยนต์ทางยุโรปก็ตาม จะไม่มีกระจกมองข้างทางด้านซ้ายมาให้ ต้องมีการซื้อใส่เองในรูปของอะไหล่ (แปลกดีนะมาจากโรงงานไม่มี แต่มีขายให้ เป็นงง) ซึ่งการที่ไม่มีมานั้น การมองทางด้านซ้ายจะต้องอาศัยกระจกมองหลังนั่นเอง ผู้ขับขี่จะต้องมองที่กระจกมองหลัง เพื่อสังเกตรถที่ขับทางด้านซ้ายมือ หรือ รถที่ขับตามหลัง ดังนั้นกระจกมองหลังมีความสำคัญมากเช่นกัน  ในเรื่องของความปลอดภัยในการขับขี่เปลี่ยนช่องทาง หรือ จะขับขี่ไปทางด้านซ้าย ซึ่งที่กล่าวมานั้น ทางผู้เขียนต้องการที่จะสื่อให้เห็นว่า “การเปลี่ยนหรือเสริมกระจกมองหลังให้ใหญ่ขึ้นนั้น ก็มีประโยชน์ต่อผู้ขับขี่เช่นเดียวกัน” ถึงแม้ว่าจะมีการเกะกะในเรื่องที่จะใช้แผงบังแดดได้โดยง่าย หมายความว่า เวลาที่ใช้แผงบังแดดในการบังแดดทางด้านกระจกหน้าหรือทางด้านข้างบริเวณประตู จะไม่คล่องตัวเหมือนตอนที่ยังไม่มีกระจกมองหลังที่ใหญ่ขึ้นก็ตาม แต่ก็ไม่บ่อยครั้งเท่ากับการใช้งานของกระจกมองหลังสิ่งที่ได้ประโยชน์จากกระจกมองหลังที่ใหญ่ขึ้น คือ จะได้มุมมองที่กว้างขึ้น ทั้งภายในห้องโดยสารและภายนอกห้องโดยสาร ซึ่งจะทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ความปลอดภัยก็อาจจะมีมากขึ้น อันนี้แล้วแต่ความถนัด

อาจจะมีคำถามว่า ทำไม? ไม่ติดตั้งมาจากโรงงานประกอบเลย (กระจกมองหลังที่ใหญ่)

ทางวิศวกรได้คำนวณแล้วว่าเพียงพอต่อการใช้งาน มุมที่มองเห็นชัดเจนดีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นและการทำให้มีขนาดใหญ่ย่อมมีน้ำหนักมากขึ้น เวลาจอดรถตากแดด กระจกมองหลังก็ห้อยลงมา ยามผ่านทางขรุขระก็จะสั่นสะเทือนง่าย ทำให้ไม่นิ่งเวลามองหลัง และนี่ก็เป็นประเด็นที่ทำให้มีการออกแบบที่เหมาะสม เพียงพอต่อการใช้งานที่กล่าวมาทั้งหมด อาจจะช่วยให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่า วิธีที่ 1 แรกๆอาจไม่ชิน พอนานไปอาจจะดีขึ้น ส่วนวิธีที่ 2 คงต้องหาซื้ออุปกรณ์ดังกล่าว จากร้านที่ขายอุปกรณ์รถยนต์ หรือที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ส่วนวิธีการดังกล่าวทางผู้อ่านจะนำไปใช้นั้น ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล ไม่เจาะจงหรือบังคับกันได้ครับ

เทคนิคเล็กที่ไม่ควรมองข้ามจากเรา Q4CAR

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความหมายของสัญญาณไฟรถบรรทุกที่ต้องการสื่อ


1. เปิดไฟกระพริบซ้ายที ขวาที หากเจอพี่เค้าเปิดไฟกระพริบสลับกัน หมายความว่าให้ระวัง** เพราะพี่เค้าอาจจะเบรก หรือข้างหน้ามีปัญหา ซึ่งอาจมีด่าน มีอุบัติเหตุ หรือรถคันหน้าพี่เค้าเบรกกะทันหัน
สรุป ~ ก็คือพี่เค้าเตือนให้เราระวัง อย่าเพิ่งใจร้อนแซงขึ้นไป ตอนนี้ขับตามกันไปก่อน

2. เปิดไฟซ้ายอย่างเดียว หากเจอกรณีนี้ในขณะที่รถวิ่งอยู่ในทาง และพี่เค้าไม่ได้เข้าจอด หมายความว่า พี่เค้ายินดีให้เราแซงขึ้นไปได้  แต่ถ้าหากเป็นเลนสวนกัน พี่เค้าต้องการบอกเราว่า "ข้างหน้าไม่มีรถสวนให้เราแซงได้โดยปลอดภัย" [ไปได้เลยไอ้น้อง..โล่ง]

สรุป ~ พี่ใหญ่ดูให้แล้วว่าทางสะดวกเปิดไฟซ้าย ให้น้องแซงได้สบาย

3. เปิดไฟขวาค้าง หรือเปิดเป็นจังหวะ ถ้าเจอไฟแบบนี้ ในขณะที่รถวิ่งตามกันอยู่  นั่นคือสัญญาณเตือนว่าให้ระวัง!! "ห้ามแซง" เพราะพี่เค้ากำลังจะแซงรถคันหน้า หรืออาจจะเลี้ยวขวา หรือถ้าเป็นเลนสวน พี่เค้าต้องการบอกให้เรารู้ว่าข้างหน้ากำลังมีรถสวนมา อันตรายห้ามแซง!!! [แซงมา..ตายแน่!]

สรุป ~ หากเจอพี่ใหญ่เปิดไฟขวา ห้ามแซงออกไปโดยเด็ดขาด ให้รอจนกว่าพี่เค้าจะแซงไป หรือจนกว่าพี่เค้าจะเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเป็นสัญญาณบอกให้แซงได้

4. ในกรณีของการขับรถตามกัน อันนี้สำคัญหลายคนคง งง!!! และสงสัยว่า มันจะเปิดไฟสูงทำ......... ไมวะ ในเวลาที่เรากำลังแซงรถบรรทุก และเจอไฟสูงตบท้าย  ซึ่งมันก็ไม่ผิดที่เติมคำในช่องว่าง หากไม่เข้าใจความหมายพี่เค้า แต่ที่จริงแล้วพี่เค้าหวังดีกับเรานั่นเอง

ในกรณีที่เรากำลังแซงพี่เค้าขึ้นไปจนจะพ้น พี่เค้าจะช่วยเราโดยการส่งสัญญาณไฟ ซึ่งพี่เค้าจะทำให้อยู่ 2 อย่าง คือ

 อย่างแรก คือในจังหวะที่รถเรากำลังตีคู่กัน พี่เค้าจะเปิดไฟสูงให้เราเห็นทางข้างหน้า
และลดไฟลงต่ำเมื่อเราแซงพ้นอย่างที่สอง คือพี่สิบล้อบางคันอาจปิดไฟหน้า หากเป็นตอนกลางคืน นั่นหมายความว่า เราแซงพ้นแล้ว ให้เข้ามาในเลนได้  แต่ถ้าเป็นกลางวันพี่เค้าจะกระพริบไฟให้ 1 ที หรือบางที พี่เค้าอาจบีบแตรเบาๆ เป็นสัญญาณให้ 1 ทีก็ได้ แต่หลักที่นิยมทำกัน คือเมื่อเค้าเปิดทาง และเราแซงขึ้นไป เมื่อเราแซงไปในระดับเดียวกับรถพี่เค้า ให้เราจะบีบแตรสั้น 1 ครั้ง [เพื่อเป็นการขอบคุณ] และเรามักจะได้ยินพี่เค้าบีบตอบสั้น 1 ครั้งเช่นกัน [ไม่เป็นไร..รับทราบ] แต่ถ้าหากขับสวนกันกับพี่เค้า คงต้องดูหลายๆ ไฟของพี่เค้าหน่อยนะค่ะ ทั้งไฟหน้า ไฟเลี้ยว และไฟหัวเก๋งค่ะ [กับการขอบคุณของพี่เค้า]

สรุป ~ หากเจอเหตุการณ์แบบนี้ แสดงว่าพี่เค้าเตือนเพราะความหวังดี แล้วก็อย่าเผลอเติมคำในช่องว่างล่ะ

5. ขับสวนแล้วดับไฟหน้าแล้วเปิด ส่วนใหญ่สัญญาณไฟแบบนี้ พี่เค้าต้องการบอกว่าข้างหน้ามีด่าน หรืออีกกรณีก็เกิดอุบัติร้ายแรงข้างหน้า เพื่อเตือนให้เราระวังไว้

6. กระพริบไฟหน้า อันนี้เจอด่านชัวร์ แต่ต้องสังเกตดูดีๆ ก่อนว่าเจอด่านฝั่งไหน เพราะพี่เค้าจะกระพริบไฟบอกอีกทีว่าด่านอยู่ทางไหน  ถ้ากระพริบไฟหน้า และเปิดไฟเลี้ยวข้างที่ชี้มาทางเราด่านจะอยู่ฝั่งเรา แต่ถ้ากระพริบไฟหน้าและเปิดไฟเลี้ยวด้านฝั่งเค้า แสดงว่ามีตำรวจอยู่ฝั่งนู้น!!!

แต่ถ้าหากบางทีในตอนกลางคืน ถ้าเป็นเลนสวนกันขับสวนมาดีๆ แล้วกระพริบไฟหน้าครั้งเดียว บางทีอาจไม่มีอะไร แค่พี่เค้าอยากทักทาย หรือเป็นการเช็คว่าเราหลับในรึเปล่าเท่านั้นเอง [ถ้าแบบนี้...อาจถูกเติมคำในช่องว่างได้นะ]
หรืออีกอย่าง คือพี่เค้าต้องการถามเราว่าทางที่เราผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้างรึเปล่า เช่นอุบัติเหตุ หรือ หมาต๋า (ตำรวจ) อยู่หรือไม่ ถ้าเราไม่หลับไม่เคลิ้ม และทางสะดวกให้กระพริบไฟตอบกลับไป 1 ที

7. เลนสวนกัน และมีขบวนรถขับสวนขึ้นมา อันนี้ต้องระวัง! หากวิ่งถนนเลนสวน มีขบวนรถตรงข้ามยาวๆ ให้มองรถคันที่ 2 ในแถวไว้ให้ดี ยิ่งถ้าเราขับสวนมาคันเดียวโดดๆ ยิ่งต้องระวัง!! หากรถคันที่ 2 หรือคันต่อๆ ไปในแถวที่สวนมากระพริบไฟ หรืออาจจะเบ้หัวออกมานิดหนึ่ง [เพื่อชิมราง] และกระพริบไฟ นั่นแสดงว่ารถคันแรกในขบวนช้า พี่เค้ากำลังจะแซงออกมา ให้ระวัง!

หากเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ให้มองให้ดี และเตรียมชะลอความเร็ว ส่วนใหญ่แล้วพอพี่เค้ากระพริบไฟ พี่เค้าก็จะหักหัวออกมาทันที เราก็คงทำได้อย่างเดียว คือค่อยๆ ชะลอความเร็วและเบี่ยงออกไหล่ทาง [อย่าทำเก่ง..ไปต่อกรกับพี่สิบล้อเค้าละ] ขอบอกได้เลยว่า พี่เค้าพอออกมาแล้วไม่กลับแน่นอน ยิ่งถ้าพี่เค้าออกมาปิด-เปิดไฟหน้าใส่ละก็ ตัวใครตัวมันเลยค่ะรับรองได้ว่าไม่หลบหลอก ถึงเราจะถูก แต่พี่เค้าสิบล้อ ถือว่าแน่กว่าเรา และที่สำคัญรถใหญ่บนทางหลวงเค้าไม่ลงไหล่ทางแน่นอน
เพราะว่ารถมันหนัก ถ้าลงไหล่ทาง รถมันจะเอาไม่อยู่ และพลิกคว่ำทันที และอีกอย่างหนึ่งรถใหญ่จะหนัก พี่เค้าจะไม่ค่อยเบรกกัน เมื่อได้รอบได้จังหวะ พี่เค้าจะออกมาทันที เราต้องเป็นฝ่ายหลบ เพราะงั้นถ้าพี่เค้าจะแซง น้องเล็กอย่างเราควรหลบให้พี่เค้าเถิด

จริงอยู่ที่พี่ผิด แต่หากน้องไม่หลบพี่คงจบน้องแน่ ก็ขึ้นอยู่กับเพื่อนๆ แล้วล่ะว่าจะเลือก "หลบ" หรือ "จบ" กับพี่เค้าดี แต่หลบก็ดีกว่านะ (แล้วเติมคำในช่องว่างเอา)

ป.ล ~
 การเตรียมตัวผู้ขับ พักผ่อนให้เพียงพอก่อนเดินทาง งดเว้นการดื่มสุราฯ หรือของมึนเมาทุกชนิด ก่อนเดินทางควรที่จะศึกษาเส้นทางโดยตลอดเสียก่อน โดยตรวจดูจากแผนที่ถามผู้รู้ หรือหน่วยบริการของตำรวจทางหลวง หรือการท่องเที่ยวเพื่อกำหนดเส้นทางการเดินว่าจากจุดใดไปจุดใด ถนนสายใด มีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ปะยาง ร้านอาหาร หรือจุดพักรถที่ใดบ้าง

การปฏิบัติระหว่างขับรถ ในเวลากลางคืนไม่ควรขับติดต่อระยะทางยาวกว่า 150 กม. ควรเปลี่ยนให้ผู้อื่นขับแทน และพักผ่อนให้เพียงพออย่าแซงในที่คับขัน บนสะพาน ในทางโค้ง ทางแยก ทางร่วม หรือที่ผิดกฎหมายอย่าขับตามหลังรถอื่นระยะกระชั้นชิด ขับด้วยความเร็วสม่ำเสมอ อย่าเร็วเกินที่กฎหมายกำหนดให้สัญญาณก่อนหยุด ก่อนเลี้ยว ก่อนแซงทุกครั้ง การขับผ่านทางแคบ ทางโค้ง บนเนิน บนภูเขาควรขับให้ชิดขอบทางด้านซ้าย ก่อนเข้าทางโค้งควรให้เสียงสัญญาณเตือนรถอื่นที่จะสวนมาปฏิบัติตามเครื่องหมายหรือสัญญาณจราจรโดยเคร่งครัด

รู้ไว้ไม่เสียหายในการเดินทางไกลจากเรา Q4CAR

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อันตรายจากการ ขับๆ เบรคๆ


ในการขับรถในที่จราจลแออัดทำให้เราต้องเหยียบเบรคอยู่บ่อย ๆ การเหยียบเบรคย้ำ ๆ บ่อย ๆ นี่เองที่ทำให้เกิดอันตรายต่อเราได้และผู้ร่วมทางกับเราได้ ดังนั้นก่อนที่จะเบรครถเราควรต้องดูสิ่งที่อยู่รอบตัวรถเราให้ดี และควรรู้ว่าเวลาไหนควรเตะเบรคเบา ๆ เพื่อชะลอ เวลาไหนควรที่จะเหยียบเพื่อหยุด เราขอแนะนำเทคนิควิธีเหยียบเบรคอย่างถูกต้องและเหมาะสมครับ

เรื่องการขับๆเบรคๆ เป็นเรื่องที่เราหลายคนเคยเจอ แต่ก็ไม่มีอะไรดีเยี่ยมเท่ากับได้เรียนรู้พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ ที่ล่าสุดเราก็มีโอกาสได้ไปสัมผัสจากรุ่นพี่ท่านหนึ่งระหว่างการเดินทางท่อง เที่ยวช่วงวันหยุดยาว จนรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของพฤติกรรมที่อาจจะเป็นอันตรายต่อเพื่อนร่วมทางและ ตัวผู้ขับขี่คนดังกล่าวเอง

พฤติกรรมการขับรถแบบ " ขับๆเบรคๆ" เป็นพฤติกรรมที่ผิดอย่างยิ่งในการขับรถแม้คุณอาจจะเถียงว่ากรมการขนส่งออกใบ อนุญาตให้มีสิทธิในการขับขี่ถูกต้อง ทว่าความจริงแล้วมันไม่ได้เกี่ยวกับกรมขนส่งแต่เป็นเรื่องที่ควรรู้ในการขับ ขี่ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องการที่จะรักษาระดับความเร็วให้คงที่ตามต้องการ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้วิธีการรักษาความเร็วที่ถูกต้อง

"การรักษาระดับความเร็ว" นั้น เป็นเรื่องสำคัญขั้นพื้นฐานในการขับขี่ ที่ว่าด้วยการรักษาระดับความเร็วที่ต้องการของผู้ขับขี่ให้เป็นไปตามความ ต้องการในการเดินทาง ซึ่งนอกจากจะทำให้การขับขี่ราบลื่นและไม่ชวนเหนื่อยล้าของทั้งผู้โดยสารและ ตัวผู้ขับเองแล้ว ข้อสำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือตัวเลขประหยัดน้ำมันที่จะดีขึ้นทันตาเห็น

หลายคนมีวิธีรักษาระดับความเร็วที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพยายามคงที่ความเร็วในการเดินทางซึ่งตามปกติแล้ว เราควรคันเร่งเป็นตัวกำหนดความเร็วที่สำคัญ และวันนี้เรามี 4 ข้อแนะนำมาบอกกล่าว ที่น่าจะช่วยให้คุณเลิกพฤติกรรมขับๆเบรค

1.จำไว้ "เบรคมีไว้หยุดและชะลอ" เท่านั้น จากที่สังเกตเกี่ยวกับการขับขี่ของคนที่มีพฤติกรรมขับๆเบรคๆ นั้น ข้อสำคัญที่เราเห็นได้ชัดคือคนเหล่านี้เชื่อมั่นในเบรคมากกว่าการควบคุมรถ ด้วยคันเร่ง ซึ่งถือว่าเป็นความคิดที่ผิดเพราะเบรคนั้นมีไว้เพื่อหยุดรถ หรือลดความเร็ว แต่แม้เราจะบอกว่ามันใช้ ลดความเร็วก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะใช้ควบคุมความเร็วได้ผล เพราะ ทุกครั้งที่คุณเหยียบเบรกไฟเบรกด้านท้ายรถจะติดตามไปด้วย ทั้งยังเป็นการสั่งให้เครื่องยนต์ทำงานช้าลงด้วยการดูดลมจากไอดีไปใช้เพื่อ เสริมแรงกดเบรก ซึ่งอาจจะทำให้คุณเสี่ยงโดยเฉพาะในภาวะฉุกเฉิน

2.ควบคุมคันเร่ง เรื่องง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง ข้อ สำคัญในการขับรถนั้นเราหลายคนอาจจะรู้ดีว่า คันเร่งคือตัวเร่งที่ทำให้รถพุ่งทะยานไปข้างหน้า แต่นอกจากมันจะทำให้รถขับเคลื่อนแล้วนั้น เรายังต้องรู้จักควบคุมให้พอเหมาะพอดีในการเดินทาง ซึ่งคุณต้องรู้จักเร่งและผ่อนอย่างเหมาะสม ยิ่งในการเดินทางไกลหากใช้คันเร่งน้อยเท่าไร โดยที่ความเร็วยังคงที่ตามความต้องการนั้นหมายความว่า คุณกำลังขับประหยัดมากขึ้นเท่านั้น

3.ขับๆเบรคๆ ทำแบบนี้มีแต่ข้อเสีย หลาย คนอาจจะไม่ทราบ แต่เชื่อหรือไม่ครับว่า พฤติกรรมการขับขี่ ด้วยวิธีเร่งๆพอถึงความเร็วก็เบรคแล้วก็เร่งอีกนั้น ล้วนมีแต่ข้อเสีย โดยเฉพาะการสึกหรอของชิ้นส่วนต่างๆเร็วกว่ากำหนด เช่นเบรก เครื่องยนต์ และระบบระบบส่งกำลัง สำหรับรถเกียร์อตโนมัติ นอกจากนี้ทำให้เกิดความร้อนสะสมโดยไม่จำเป็น ซึ่งทันทีที่คุณเลิกพฤติกรรมดังกล่าวก็จบว่าการสึกหรอต่างๆน้อยลง เปลี่ยนผ้าเบรค ช้าลง หและยังมีอัตราประหยัดน้ำมันที่น่าประทับใจขึ้นอีกด้วย

4.นึกถึงจิตใจเพื่อนร่วมทาง..ที่คุณเป็นอยุ่มันอันตราย เรา เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอการขับขี่แบบขับๆเบรคๆ มามากมาย แต่ถ้าวันนี้ท่านผู้อ่านคนใดทำพฤติกรรมดังกล่าวอยู่นั้น เราอยากให้ท่านลองปรับเปลี่ยน โดยนึกถึงเพื่อนร่วมเดินทางท่านอื่นๆ เป็นสำคัญ

ข้อสำคัญที่อันตรายที่สุดของพฤติกรรม "ขับๆเบรคๆ" นั้น คือการสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้ขับขี่ท่านอื่นๆที่ทันทีที่คุณเหยียบเบรค ไฟเบรคด้านท้ายจะติดขึ้นเพื่อบอกเป็นสัญญาณหยุด ทั้งๆที่จริงๆความต้องการของคุณเพียงแค่รักษาระดับความเร็ว แล้วลองนึกดูสิครับว่า ถ้าเป็นคุณตามหลังรถที่ขับแล้วไฟเบรคเดี๋ยวติด เดี๋ยวดับตลอดทาง ..คุณจะอารมณ์เสียหรือไม่

ทั้ง 4 เหตุผล สำคัญนี้ น่าจะพอบอกได้ว่าทำไมพฤติกรรมขับๆเบรคๆ ถึงเป็นอันตรายทั้งต่อตัวคุณเองและเพื่อนร่วทาง ซึ่งความจริงแล้วทั้งหมดนี้ไม่ได้มีข้อดีเลยสักอย่างและเพียงวันนี้คุณ รู้จักเรียนรู้ "การรักษาความเร็ว" ที่ถูกต้อง คุณก็ช่วยให้ถนนในวันนี้น่าขับขี่มากยิ่งขึ้น

นำความรู้มาฝากจาก Q4CAR