วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556
ความหมาย ทะเบียนรถ หลากสี
เคยสงสัยกันไหมว่า รถราที่วิ่งกันขวักไขว่อยู่บนท้องถนน ทำไมป้ายทะเบียนถึงมีสีสันแตกต่างกันไป แล้วมีความหมายอย่างไร วันนี้มีคำตอบ
สีพื้นแผ่นป้ายทะเบียนและตัวอักษรของรถที่วิ่งบนท้องถนน มีอยู่หลากหลายรูปแบบ และแต่ละสี ก็ให้ความหมายที่ไม่เหมือนกัน ถ้าผู้ใช้ถนนลองสังเกตและทราบความหมายแล้ว ก็จะสามารถระบุได้ว่า รถที่เห็นอยู่นั้น เป็นรถประเภทใด ต่อไปนี้ คือความหมายของสีพื้นและตัวอักษรป้ายทะเบียนรถ ที่นำมาฝาก
รถยนต์ส่วนบุคคลที่ไม่เกิน 7 ที่นั่ง ใช้ป้ายทะเบียนรถสีขาวสะท้อนแสง ส่วนตัวอักษรเป็นสีดำ แบบที่เห็นกันตามท้องถนนโดยทั่วไป
แต่ถ้าเป็นรถที่เกิน 7 ที่นั่ง ตัวอักษรจะเป็นสีน้ำเงิน
ส่วนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลใช้ตัวอักษรสีเขียว
สำหรับรถยนต์รับจ้างที่บรรทุกผู้โดยสารไม่เกิน 7 คน ใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถสีเหลืองสะท้อนแสง มีตัวอักษรสีดำ
แตกต่างจากรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัดใช้อักษรสีแดง
รถสามล้อสีเขียว
และสี่ล้อเล็กรับจ้างเป็นสีน้ำเงิน
หากเป็นรถจักรยานยนต์ส่วนตัว ใช้ป้ายทะเบียนสีขาว ตัวอักษรสีดำ
ส่วนรถจักรยานยนต์รับจ้างใช้ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวอักษรสีดำเช่นกัน
ส่วนรถยนต์ประเภทที่ไว้ให้เช่าหรือรถสำหรับบริการทัศนาจรหรือเพื่อธุรกิจอื่น ๆ พื้นแผ่นป้ายจะเป็นสีเขียวสะท้อนแสง ตัวอักษรเป็นสีขาว
ส่วนป้ายทะเบียนรถที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อย ๆ เช่น รถพ่วง รถบดถนน รถแทรกเตอร์ และรถใช้งานเกษตรกรรม ป้ายทะเบียนใช้สีส้มสะท้อนแสง ตัวอักษรใช้สีดำ
ป้ายทะเบียนรถยนต์ของคณะผู้แทนทางการทูต พื้นแผ่นป้ายเป็นสีขาว (ไม่สะท้อนแสง) ตัวอักษรเป็นสีดำ ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร ท ตามด้วยรหัสประเทศ ขีด แล้วถึงจะเป็นเลขทะเบียน
ต่างกับรถยนต์ของบุคคลในหน่วยงานพิเศษของสถานทูต ใช้ตัวอักษร พ
ของคณะผู้แทนทางกงสุล ใช้อักษร ก
ส่วนทะเบียนรถของ องค์การระหว่างประเทศ หรือ ทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ใช้อักษร อ สีป้ายเป็นสีฟ้าไม่สะท้อนแสงและตัวอักษรเป็นสีขาว
มีป้ายทะเบียนรถอีกประเภทหนึ่ง ที่พบเห็นบ่อย ๆ คือป้ายทะเบียนที่มีพื้นหลังเป็นกราฟิกรูปภาพ หมายถึง ทะเบียนรถที่มีการประมูล โดยใช้เฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่งเท่านั้น
ความรู้เล็กๆ จากทาง Q4CAR
วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556
เรื่องเข้าใจผิด
การใช้รถอย่างถูกต้องและดูแลรักษาอย่างถูกวิธี
ช่วยให้ประหยัดและยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น
พฤติกรรมผิดๆ ของผู้ใช้รถซึ่งอาจส่งผลเสียกับรถยนต์ทันที หรือแสดงผลในภายหลัง ส่วนใหญ่เกิดจากความเข้าใจผิด โดยเฉพาะใน 29 เรื่อง ต่อไปนี้
ผิด 1. \"สตาร์ทแล้วออกรถได้เลยไม่ต้องอุ่นเครื่อง\"
ถูก...อุ่นเครื่องยนต์สักหน่อยก่อนออกรถจะดีกว่า
เมื่อเครื่องยนต์ทำงานขณะที่ยัง \"เย็น\" อยู่ เช่น ขณะออกรถจากบ้านไปทำงานตอนเช้า หรือติดเครื่องยนต์เมื่องานเลิกเพื่อกลับบ้าน ไอของเชื้อเพลิงที่เข้มข้นจะเกาะผนังกระบอกสูบ และละลายปนกับฟิล์มน้ำมันเครื่องที่ฉาบผนังอยู่ ทำให้การหล่อลื่นแหวนลูกสูบกับผนังกระบอกสูบไม่เพียงพอ สร้างความสึกหรอในเครื่องยนต์มากกว่าปกติ
นอกจากนี้ทั้งเชื้อเพลิงที่ระเหยไม่หมด และไอน้ำที่เกิดจากการเผาไหม้ขณะเครื่องยังเย็นนี้ ยังละลายปนอยู่ในน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วขึ้นอีกด้วย
ผิด 2. \"รถใหม่สมัยนี้ ไม่ต้อง รันอิน\"
ถูก...รถใหม่ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ต้องรันอิน
รถรุ่นใหม่ๆ แม้จะมีการควบคุมคุณภาพอย่างดีแล้วก็ตาม แต่เครื่องยนต์ใหม่ควรต้องผ่านการรันอิน และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสักครั้งก่อนที่จะใช้งานอย่างเต็มที่ เพราะเศษโลหะที่ตกค้างอยู่ในระบบจะได้ถูกชะล้างออกไป การรันอินนั้นทำได้ไม่ยาก โดยในช่วง 1,000 กม. แรก ไม่เร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรง หรือใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงมากๆ ถ้าใช้รอบเครื่องไม่เกิน 3,000 รตน. ได้ก็จะดี และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะที่ผู้ผลิตกำหนด พูดถึงเรื่องนี้ เคยมีผู้ใช้รถบางคน ไม่นำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็ค โดยให้เหตุผลว่า เสียเวลา เปลี่ยนน้ำมันเครื่องทำที่ไหนก็ได้ อย่างนี้ \"น่าเสียดาย\" แทนจริงๆ เพราะถ้าเกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์จะเรียกร้องเอากับใคร
ผิด 3. \"ยกขาก้านปัดน้ำฝนขณะจอดช่วยยืดอายุใบปัด\"
ถูก...สปริงในก้านที่ปัดน้ำฝนจะอ่อน และเสียเร็วขึ้น
ส่วนสำคัญที่ทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพประกอบด้วย ใบปัด แผ่นยางซึ่งทำหน้าที่รีดน้ำจากกระจกบังลมหน้า ปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี หากใช้นานกว่านั้นเนื้อยางจะแข็งตัวหรือมีการฉีกขาด ไม่ว่าจะยกไว้หรือไม่ก็ตาม อีกส่วนคือ ก้านใบปัด ที่มีสปริงคอยดึงให้ใบปัดแนบสนิทกับกระจก ซึ่งรับแรงจากคันโยก และมอเตอร์ ตัวนี้มีราคาสูงกว่าใบปัด การยกก้านเมื่อจอดตากแดด สปริงจะถูกดึงให้ยืดออกตลอดเวลา อายุการใช้งานสั้นลง ทำให้ต้องจ่ายแพงกว่าเดิมหลายเท่าถ้าต้องเปลี่ยนทั้งชุด
ผิด 4. \"รถติดไฟแดงค้างเกียร์ D ไว้ดีกว่าเปลี่ยนเกียร์ว่าง\"
ถูก...หยุดรถก็โอเค แต่ถ้าติดไฟแดงนานก็ต้องระวังชนคันหน้า
ในกรณีรถติดไฟแดง ผู้ขับรถที่ใช้เกียร์ธรรมดาจะปลดเกียร์ว่าง และเหยียบเบรคป้องกันรถไหล คงจะไม่มีใครเหยียบคลัทช์ และเบรค ใส่เกียร์คาไว้ ให้เมื่อยขา ขณะที่ผู้ขับรถเกียร์อัตโนมัติ กลับมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน กลุ่มแรก เหยียบเบรคโดยค้างเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง \"D\" กลุ่มที่ 2 เบรคเหมือนกัน แต่เลื่อนตำแหน่งคันเกียร์มาที่เกียร์ว่าง \"N\" กลุ่มสุดท้าย ดันคันเกียร์มาอยู่ที่ \"P\" ไม่เหยียบเบรค
ถ้าติดไฟแดงนานๆ กลุ่มแรก ต้องระวังมากที่สุด เพราะถ้าขยับตัวแล้วเท้าหลุดจากแป้นเบรค รถอาจพุ่งไปชนคันหน้า กลุ่มที่ 2 เบาหน่อยแค่เมื่อย ส่วนกลุ่มสุดท้าย สบายใจได้ แต่อาจจะไม่สะดวกกับการใช้งาน วิธีดีที่สุด คือ ใช้เกียร์ว่างและดึงเบรคมือ
ผิด 5. \"เดินทางไกลลมยางอ่อนดีกว่าแข็ง\"
ถูก...ลมน้อย ยางมีโอกาสระเบิดได้มาก
คู่มือการใช้และดูแลรักษายางรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นค่ายไหน ก็แนะนำตรงกันว่า ผู้ใช้รถควรเติมลมยางตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้ และให้เพิ่มแรงดันลมยางให้สูงขึ้นอีก 2- 3 ปอนด์ เมื่อต้องเดินทางไกล
ลมยางที่อ่อนกว่ามาตรฐานกำหนด นอกจากจะทำให้หน้ายางด้านนอกสึกมากกว่าด้านในแล้ว ยังอาจส่งผลเสียกับโครงสร้างยางได้ และมีโอกาสเกิด \"ยางระเบิด\" มากกว่าหรือใกล้เคียงกับยางที่มีแรงดันลมยางเกินกำหนด เพราะอุณหภูมิความร้อนที่เกิดจากการเสียดสี
ความรู้เล็ก ๆที่ทางเรา Q4CAR นำมาฝาก
วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556
รถเสีย ...ไม่ละเหี่ยใจ
“ รถเสีย ” ปัญหาสร้างความน่าหงุดหงิดใจให้กับเจ้าของรถตลอดกาล ไม่เลือกเวลาหรือสถานที่ แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดในช่วงที่เรากำลังรีบอยู่เป็นประจำ...ปัญหา น่าหงุดหงิดใจนี้ มีวิธีกำจัดง่ายๆ ช่วยลดดรีกรีความเครียด ของคุณได้ชะงัดนัก
1 . ตั้งสติให้ดี สติเท่านั้นที่จะช่วยคุณให้ผ่านเหตุการณ์คับขันแบบนี้ไปได้ เพราะรถเสียเป็นปัญหาธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป...ไม่ใช่เฉพาะคุณ
2. ติดต่อคนสนิท ตำรวจ ช่าง (ที่ใช้บริการประจำ) หรือโทรสายด่วนวิริยะประกันภัย 1557 บริการพิเศษ แจ้งอุบัติเหตุได้ทั่วประเทศ ช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้ ในกรณีที่คุณไม่สามารถ ตามช่าง หรือแก้ไขอาการเบื้องต้นได้เอง วิธีที่ดีที่สุดและทำให้คุณปลอดภัยจากมิจฉาชีพ ในคราบช่างคือ บริการลากรถหรือยกรถ ควรเลือกสายลากที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์มากกว่า สลิง ซึ่งขาดง่ายกว่าและสามารถดีดใส่รถสร้างความเสียหายได้ รถเกียร์อัตโนมัติควรลาก อย่างช้าๆ ในระยะทางไม่เกิน 40- 50 กม. ถ้าเติมน้ำมันเกียร์เพิ่มได้จะเป็นการดีต่อการระบาย ความร้อนของชุดเกียร์ ถ้าต้องลากในระยะไกล ควรหยุดพักเป็นระยะ เพื่อระบายความร้อน และต้องถ่ายน้ำมันเกียร์ออกให้อยู่ในระดับปกติ เมื่อเสร็จสิ้นการลาก
3 . ขอความช่วยเหลือทันที ในกรณีที่คุณไม่สามารถเข็นรถเข้าข้างทางได้ ควรขอความช่วยเหลือจากตำรวจทางหลวงหรือตำรวจราจร ถ้าอยู่ในที่เปลี่ยวหรืออยู่ต่างที่ ต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคยอย่าออกจากรถเด็ดขาด ถึงแม้จะเป็นผู้ชายก็ตาม
4 . เทคนิคที่ควรใส่ใจ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเกียร์ การลากรถควรยกล้อที่ขับเคลื่อนขึ้น และถ้าเป็นรถที่ขับเคลื่อนล้อหลังควรล็อคพวงมาลัยหน้าให้อยู่ในตำแหน่งตรงตลอดเวลา ในกรณีรถที่กีดขวางการจราจร คุณตำรวจจะช่วยยกรถของคุณไปที่โรงพัก ซึ่งจะต้องเสียค่าเคลื่อนย้ายรถ และค่าปรับไม่เกิน 500 บาท หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อกองบังคับการตำรวจจราจร 02-5153000 หรือเพื่อเป็นการป้องกันหรือเตรียมพร้อมก่อนพบกรณีฉุกเฉิน เข้าไปดูข้อมูล www.trafficpolice.go.th ได้
ด้วยความห่วงใยจากเรา Q4CAR
วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556
“จัมพ์แบต”เรื่องง่ายๆที่ทำ(ไม่)ยาก
เวลาขับรถบนท้องถนน ความปลอดภัยในการเดินทางเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด แต่บ่อยครั้งก็มักเกิดปัญหาไม่คาดคิดโดยเฉพาะปัญหาแบตเตอรี่หมด ที่ทำให้ระบบเครื่องยนต์หยุดชะงัก และเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเฉพาะหน้า ด้วยวิธีการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “จัมพ์แบตเตอรี่” เพื่อให้เกิดกำลังไฟเพียงพอที่จะทำให้ระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน และสามารถเดินรถต่อไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
นายประกาสิทธิ์ พรประภา กรรมการ บริษัท สยามยีเอส แบตเตอรี่ จำกัด และบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ “GS แบตเตอรี่” ให้คำแนะนำว่าปัญหาของแบตเตอรี่หมดระหว่างการขับรถบนท้องถนนอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสายต่อไดชาร์จหลวม น้ำกลั่นหมด แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ หรือกำลังไฟของแบตเตอรี่มีไม่เพียงพอ การจัมพ์แบตเตอรี่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยจะต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์เสริม และต่อสายพ่วงกับรถยนต์อีกคันหนึ่งในการชาร์จไฟ เพื่อให้ระบบได้ทำงาน หลังจากนั้นจึงนำรถยนต์ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ และเช็คสภาพความพร้อมของเครื่องยนต์จากช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง
การจัมพ์แบตเตอรี่สามารถทำได้เอง แต่ต้องระมัดระวัง เพราะแบตเตอรี่ มีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำกรดที่มีคุณสมบัติเป็นตัวการกัดกร่อนพื้นผิว ซึ่งขณะที่แบตเตอรี่กำลังทำงานจะเกิดก๊าซไฮโดรเจนสะสมในตัวแบตเตอรี่ จึงควรระวังในเรื่องประกายไฟ เพราะอาจเกิดอันตรายระหว่างจัมพ์แบตเตอรี่ได้”
**วิธีการ ‘จัมพ์แบตเตอรี่’**
เมื่อแบตเตอรี่หมดให้ปิดสวิตช์กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถและขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ เพื่อต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีแดงซึ่งเป็นสายขั้วบวกมาต่อกับขั้วบวก (+) ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด หลังจากนั้นนำหัวต่ออีกข้างต่อเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีเขียวหรือสีดำซึ่งเป็นสายขั้วลบมาต่อกับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน ควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่าสายพ่วงต่อ
ต่อจากนั้นนำสายหัวต่อที่เหลือต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์หรือตัวถังรถยนต์ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด โดยควรต่อให้ห่างจากแบตเตอรี่มากที่สุด จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่มีไฟ ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อยเพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า หลังจากนั้น เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่หมด จากนั้นเร่งเครื่องยนต์ประมาณ 1,500 - 2,000 รอบ/นาที เพื่อเช็คดูว่าประจุไฟเข้าหลังจากการชาร์จหรือไม่ ซึ่งถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับแสดงว่าการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่สำเร็จ
จากนั้นถอดสายพ่วงสีเขียว หรือสายขั้วลบ (-) ออกจากตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่หมด และตามด้วยหัวต่อขั้วลบของแบตเตอรี่ที่มีไฟ จากนั้นจึงถอดสายสีแดงหรือสายขั้วบวก (+) จากรถคันที่แบตเตอรี่หมด และถอดหัวสายพ่วงจากแบตเตอรี่ที่มีไฟ ปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นให้ครบทุกช่องและควรสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือขับรถไปเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คเครื่องยนต์และเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
**ปลอดภัยเวลา “จัมพ์แบตเตอรี่”**
- ไม่สตาร์ทเครื่องยนต์ระหว่างต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
- เวลาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ อย่าสูบบุหรี่หรือทำสิ่งใดๆ และระวังอย่าให้สายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัสกัน เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
- ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบ โดยใช้น้ำร้อนราดที่ขั้วแบตเตอรี่ทั้ง 2 ขั้ว เพื่อขจัดคราบเกลือที่เกาะติดอยู่
- ตรวจเช็คกำลังไฟของแบตเตอรี่ก่อน เพราะแบตเตอรี่ขนาด 6 โวลต์ หรือ 24 โวตล์ ไม่สามารถนำมาพ่วงกับแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ได้ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดการระเบิดขึ้นได้
- ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ก่อนทุกครั้ง โดยดูจากที่วัดของแบตเตอรี่ หรือใช้ที่วัดความถ่วงจำเพาะ(HYDROMETER) บริเวณด้านข้างของแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ เช่น สีเขียว = ประจุไฟฟ้าเต็ม สีน้ำตาลหรือสีดำ = ประจุไฟหมด สีเหลือง=แบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน
ความรู้เล็ก ๆ จากเรา Q4CAR
วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556
การขับรถอย่างถูกวิธีในสภาวะต่างๆ
รถติดบนทางชัน ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับรถที่ขับเมื่อรถติดบนทางขึ้นสะพาน มักเกิดปัญหารถถอยหลังขณะจะออกตัว เครื่องดับ สะดุด ควรปฏิบัติดังนี้
ดึงเบรคมือไว้ในตำแหน่งเกียร์ว่าง ปล่อยแป้นเหยียบเบรค
จะออกรถ(เกียร์ธรรมดา) เข้าเกียร์ 1 มือซ้ายจับเบรคมือ มือขวาจับพวงมาลัย ปล่อยคลัทช์ช้าๆ เหยียบคันเร่งเบาๆ รถทําท่าขยับเคลื่อนไปข้างหน้า แล้วจึงกดปุ่มปลดเบรคมือลง
ถ้าเกียร์ auto เข้าเกียร์ค้างไว้พร้อมเหยียบเบรคเมื่อหยุด แล้วปล่อยเบรค เมื่อ่ต้องการเคลื่อนที่เหยียบคันเร่งเบาๆ รถจะเคลื่อนที่ๆไปข้างหน้า
การขับรถในเวลากลางคืน
ไม่ควรขับรถด้วยความเร็วสูง
ใช้ไฟสูงถ้าถนนมืดมาก
ลดแสงสว่างที่หน้าปัทม์ลง
เปลี่ยนเป็นใช้ไฟต่ำเมื่อมีรถสวนมา
การขับรถในขณะฝนตก
ไม่ควรขับรถด้วยความเร็วสูง เพราะถนนเมื่อเปียกน้ำแล้วจะลื่น
ไม่ควรขับรถในกรณีที่ฝนตกหนักมาก
การขับรถในขณะน้ำท่วม
ขับลุยน้ำ ในกรณีที่ไม่มีทางหลีกเลื่ยงเท่านั้น
ต้องระมัดระวังรถที่สวนมาหรือรถของตนเอง หากวิ่งเร็วอาจทำให้น้ำเข้าห้องเครื่องหรือห้องโดยสารได้
ไม่ขับรถลุยน้ำที่สูงกว่าระดับพื้นรถด้านใน เพื่อหลีกเลี่ยงน้ำเข้าห้องเครื่องยนต์ หรืออุปกรณ์ๆไฟฟ้าซึ่งหากเสียหายจะเป็นมูลค่าสูงมาก
เมื่อพ้นจากบริเวณน้ำท่วมควรย้ำเบรคหลายๆครั้งเพื่อช่วยให้ผ้าเบรคแห้งตัว
เมื่อพ้นระยะน้ำท่วมแล้ว ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจสอบให้ละเอียด
ความรู้เล็ก ๆ ที่ทางเรา Q4CAR นำมาฝาก
วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556
Rolls-Royce เปิดตัวรถแบบ Ghost Alpine รุ่นใหม่ฉลองครบรอบ 100 ปี
ผู้ผลิตรถยนต์พรีเมี่ยมชั้นนำส่วนใหญ่นั้นเข้าใจเป็นอย่างดีถึงความจริงที่ว่าลูกค้าชาวจีนที่ร่ำรวยมีกำลังการซื้อที่มากมายนั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุณนั้นได้เห็นรถมากมายไปแสดงในงาน Auto China 2013 ที่เมือง Shanghai ในครั้งนี้
Rolls-Royce แบรนด์รถชื่อดังก็ทราบดีถึงข้อนั้นและล่าสุดพวกเขานั้นได้ส่งรถในรุ่น limited edition ของพวกเขาออกมาในชื่อ “Ghost Alpine Trial Centenary Collection” ซึ่งถือเป็นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่เปิดตัวรถรุ่นพิเศษ
แบบนี้ออกมา
ซึ่งในงานรอบปฐมทัศน์ในเซี่ยงไฮ้นี้นั้นพวกเขาก็ได้นำรถแบบ Silver Ghosts ที่เคยลงแข่งขัน Austrian Alpine Trials ในปี 1913 และนักขับอย่าง James Radley นั้นได้รับรางวัลในการแข่งทั้งสิ้น 1,820 ไมล์ในการแข่งขันครั้งนั้น
Ghost Alpine Trial Centenary Collection รุ่นนี้จึงได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากรถรุ่นนั้นโดยมาในสีแบบ “baby-blue” พร้อมกระจังหลังและล้อแม็กซ์สีดำตัดกันและรวมไปถึงระบบไอเสียทีเพิ่มเข้ามาใหม่ด้วย
นอกจากนี้ทาง Rolls-Royce ยังวางแผนเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของงาน 1913 Alpine Trial ด้วยการจัดงานที่ 20-Ghost Club โดยจะมีขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2013 นี้ที่เมืองเวียนนา
การขับรถให้ประหยัดน้ำมัน และยืดอายุการใช้งานเครื่องยนต์
การขับรถเพื่อให้ได้ระยะทางที่เพิ่มมากขึ้นต่อน้ำมันหนึ่งลิตร เป็นสิ่งที่สามารถทำได้อย่างง่ายทั้งยังเป็นผลทำให้อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ยาวนานยิ่งขึ้น เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย่ทั้งค่าซ่อม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยการปฏิบัติคตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้
เติมลมยางให้มีความดันถูกต้องเสมอโดยการตรวจเช็คความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง ลมยางอ่อนเกินไป จะกินยางและสิ้นเปลืองเฃื้อเพลิง
อย่านำของที่ไม่จำเป็นไปกับรถ น้ำหนักที่บรรทุกไปโดยไม่จำเป็นจะกินกำลังเครื่องยนต์และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น
ไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องนาน ทันทีที่เครื่องเดินเรียบก็ค่อยๆออกรถได้
เร่งเครื่องอย่างช้าๆและนุ่มนวล อย่าเร่งออกรุนแรง และเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นโดยเร็ว
อย่าติดเครื่องเดินเบานานๆ เมื่อต้องรอคอยนานๆ หรือไม่ได้ขับขี่อยู่ควรดับเครื่องแล้วค่อยๆสตาร์ทใหม่ทีหลัง
หลีกเลี่ยงการลากเกียร์และเร่งเครื่องจนรอบจัดเกินไปใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับช่วงความเร็ว และ สภาพถนน
อย่าหยุดหรือเบรคโดยไม่จำเป็น กะช่วงเวลาและสัญญาณไฟจราจรให้ดี รักษาระยะจากคนอื่นให้พอสมควร เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตู และ การเบรคหยุดโดยไม่จำเป็น
หลีกเลี่ยงการจราจรที่หนาแน่นติดขัด
อย่าวางพักเท้าบนแป้นเหยียบคลัชท์หรือเบรคซึ่งจะก่อให้เกิดความสึกหรอที่ไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น
รักษาความเร็วบนทางหลวงให้พอเหมาะ ยิ่งขับขี่ด้วยความเร็วสูงมากๆ ยิ่งสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น
ล้างฝุ่นและโคลนใต้ท้องรถออกให้หมด นอกจากจะเป็นการช่วยลดน้ำหนักยังป้องกันสนิมด้วย
ระมัดระวังศูนย์ล้อให้ถูกต้องเสมอ ระวังอย่าให้ชน หรือกระทบกระแทกจนศูนย์ล้อหน้าเสีย ซึ่งนอกจากจะเป็นผลให้ยางสึกหรอผิดปกติแล้ว ยังเพิ่มภาระให้กับเครื่องยนต์ ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วย
หมั่นปรับตั้งเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์อยู่เสมอ จะทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ดีอยู่เสมอ ก็จะไม่สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ความรู้ดีๆ ที่ทางเรา Q4CAR นำมาฝากคุณครับ
วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556
การควบคุมรถในขณะเกิดอุบัติเหตุ
รถหลุดจากทางวิ่ง
อย่าเหยียบเบรคกระทันหัน จนล้อล็อคไถลไปกับพื้นเพราะควบคุมทิศทางรถไม่ได้ เหยียบแล้วปล่อยเมื่อรู้สึกว่าล้อไถล
อย่าหักพวงมาลัยกระทันหัน เพราะรถอาจเสียหลักหมุน หรือพลิกคว่ำ คืนพวงมาลัยทันทีที่รู้สึกว่ารถเสียหลัก แล้วจึงหักเลี้ยวใหม่
มีรถวิ่งสวนเข้ามาในเลน
ลดความเร็วลงให้มาก
กระพริบไฟสูงเตือนรถที่สวนเข้ามา
ชิดขอบทางซ้าย
อย่าหลบไปในเลนที่รถสวนมา เพราะบ่อยครั้งคนขับจะรู้ตัวแล้วหักหลบท่ำให้ชนกับเราได้
มีสิ่งของตกขวางอยู่บนถนน
ลดความเร็วลง
ของมักใหญ่กว่าที่เห็นจริง อย่าวิ่งทับ
อย่าหลบไปในเลนที่รถสวนมา
หากต้องวิ่งชนหรือทับ เมือผ่านแล้ว ควรจอดตรวจสอบใต้ท้องรถเช่น คันชัก คันส่ง ท่อเชื้อเพลิง ถังน้ำมัน ยางล้อ เป็นต้น หากเกิดความเสียหายมากให้ติดต่อศูนย์บริการที่ใกล้ที่สุด หรือนำรถเข้าศูนย์บริการให้ตรวจสอบอย่างละเอียด
สัตว์เลี้ยงขวางทาง
ลดความเร็วลง
อย่าหลบไปในเลนที่มีรถสวน
กดแตรเบาๆ ให้มันหลบ
ควรเลี้ยวไปทางด้านของหลังสัตว์ การตัดหน้าจะทำให้ตกใจเตลิดกลับอาจเกิดอันตรายกับรถที่สวนมา
อย่าเบรคอย่างรุนแรง ขณะขับด้วยความเร็วสูง และไม่ควรหักหลบอย่างรุนแรงจะทำให้พลิกคว่ำได้
ตรึงพวงมาลัยจับให้มั่น
ยางแตก
อย่าเหยียบเบรคอย่างแรง
ตรึงพวงมาลัยไว้ เพราะพวงมาลัยจะดึงไปข้างที่ยางแตก หากเป็นล้อหน้า หรือส่ายไปมาหากเป็นล้อหลัง
ลดความเร็วลงด้วยการถอนคันเร่ง
เปลี่ยนเกียร์ต่ำ
เหยียบเบรคเบาๆ พร้อมกับประคองรถเข้าข้างทาง
ทำการเปลี่ยนยาง
เมื่อรถยางแบน
ให้ลดความเร็วลงช้าๆรักษาแนวตรงของรถ นำรถเข้าจอดข้างทาง
ดับเครื่องยนต์และปิดสวิทช์ไฟฉุกเฉิน
ดึงเบรคมือ และเข้าเกียร์ P (สำหรับเกียร์auto) หรือเข้าเกียร์ถอยหลัง(สำหรับเกียร์ธรรมดา)
ทำการเปลี่ยนยาง
เพื่อช่วยรถอุบัติเหตุบนท้องถนนจาก Q4CAR
วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556
วิธีเลี่ยงตำรวจตรวจจับความเร็ว
ทุกวันนี้รถยนต์ มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ทำให้เรามีความปลอดภัยมากขึ้น ขับได้มั่นใจมากขึ้น และเช่นเดียวกันปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเร็วขึ้นด้วย ไปพร้อมกัน และนั่นทำให้หลายคนอาจจะถึงกับหัวเสียเมื่อพบว่าคุณสามารถโดนจับปรับเอาได้ดื้อๆ หากขับเร็วเกินกฏหมายกำหนด
อย่าหาว่าเราชี้โพรงให้กระรอก แต่ด้วยความไม่สัมพันธ์กันระหว่างเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำและกฏหมายที่คร่ำครึ ย่อมเป็นประเด็นที่ทำให้เราอดนึกไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ขับรถต้องระแวงว่าตำรวจจะมาจับเมื่อไร เพราะเผลอแค่แปปเดียว ความเร็วก็ปาไป 100 ก.ม./ช.ม. ได้ง่ายๆ รถบางคันเร่ง 0-100 ในเวลาเพียง 3 วินาที หรืออย่างอีโค่คาร์ก็ยังทำได้ใน 20 วินาทีโดยประมาณ ก็ไม่แปลกที่จะทำให้คุณมีสิทธิ์ทำผิดกฏหมายมากขึ้น
อย่างที่บอกเราไม่ได้แนะนำให้คุณขับรถเร็วขึ้น ทำดกฏหมายมากขึ้น แต่ บางครั้งสำหรับบางคนหรืออาจจะหลายๆคน มันก็จำเป็นและลองดูวิธีเลี่ยงตำรวจตรวจจับความเร็ว ว่าคุณจะมีวิธีการอย่างไร
1. รู้จักกฏหมาย ก่อนคุณจะแหกกฏต้องรู้จักลิมิตหรือกฏก่อนว่า ความเร็วตามกฏหมายที่จริงนั้นขับได้เท่าไรกันแน่ ที่จริงควยามเร็วตามกฏหมายกำหนดนั้มีอยู่ในกฏหมายยู่แล้วและชัดเจน แต่ถาอ่านประมวลเล่มหนาไม่รู้เรื่องก็ให้รู้เอาไว้ว่าตามกฏหมายแล้ว ในเขตเมืองนั้นสามารถขับได้เพียง 80 ก.ม./ช.ม. และนอกเมือง ทางด่วน และทางพิเศษนั้นคุณจะขับได้เพียง 120 ก.ม./ช.ม.
2. รู้จักพฤติกรรมตำรวจ "รู้เขารู้เรา...รบ100ครั้ง ชนะ100 ครั้ง" ปรัชญาทีเราน่าจะเคยได้ยินกันมาบ่อยครั้งมากมายว่า จะทำอย่างไรให้ชนะ แน่นอนคุรต้องรู้จักคนที่จะมาจับคุณไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นพฤติกรรมเช่นลักษณะ การสกัดจับ เส้นทางที่สกัดจับ การตั้งด่าน หรือบางครั้งพวกเขาอาจจะเพียงตั้งเครื่องมือไว้แล้วส่งบิลเก็บเงินพร้อภาพ ถ่ายถึงบ้าน ไม่ว่ายังไง คุณสามารถเลี่ยงได้เพียงคนข้อมูล ถามอากู๋ หรือผู้ใช้ทางถ้าคุณไม่ได้ขับประจำบนเส้นทางนั้น รู้ไว้ใช่ว่าก็เลี่ยงได้
3. สังเกต ... เชื่อหรือไม่ว่าความเป็นคนสังเกตจะทำให้คุณรอดได้ การเรียนรู้ที่จะมองไกล หรือ มองรถตรงข้ามที่สวนมา อาจจะบอกใบ้ได้ เช่นมีการกระพริบไฟ หรือ ในช่วงบริเวณนั้นรถก็ขับช้ากันเยอะแยะ จนผิดสังเกต ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ จะเป็นตัวบอกที่ดีว่า ข้างหน้าจะมีพี่ตั้มรอคุณอยู่หรือไม่
4. ขับให้ปกติที่สุด คนขับรถเร็วมักมีปัญหาข้อหนึ่ง คือเมื่อคุณเร็วแล้วคุณมักจะรน ไม่ใช่ทุกคนที่คุ้นกับความเร้วนัก โดยเฉพาะการขับเร็วบนถนน ยิ่งน้อยราย บางคนขับรถเร็วบ่อยจริง แต่ก็ขับแบบไม่ได้คิด ทั้งที่ความจริงแล้วการใช้ความเร็วสามารถทำให้เหมือนปกติได้ เช่นคุณเปลี่ยนเลนเนียน อะไรแบบนี้ รือ เบรกไม่กระทันหันเกินไป แล้วคุณจะรู้ว่าการใช้ความเร็วนั้นเป็นไปได้
แม้จะเป็นเพียงพื้นฐานทั่วไปที่ หลายคนอาจจะรู้กันดีอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกเราไม่ได้สนับสนุนให้คนทำผิดกฏหมาย แต่บางครั้งถ้าจำเป็นคุณต้องรู้ว่าควรทำอย่างไร เพื่อไม่ให้การใช้ความเร็วมาเสียเวลาเปล่ากับพี่ ตั้ม
เพื่อความไม่ประมาณจาก Q4CAR
วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556
10 สัญญาณเตือนภัย รถของคุณ
คนใช้รถทุกวันนี้ บางคนอาจจะแค่ขับไปทำงานแล้วกลับบ้าน บางคนก็ขับไปไกลๆ ถึงต่างจังหวัด มีหลายคนที่ขับอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจหรือเอาใจใส่รถของตัวเองว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง ทั้งที่รถทุกคันควรได้รับการดูแล และตรวจเช็คก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในชีวิต จึงขอแนะนำวิธีตรวจเช็ครถของคุณเบื้องต้น กับ 10 สัญญาณเตือนที่จะบ่งบอกได้ว่ารถของคุณนั้นอาการน่าเป็นห่วง
1. สัญญาณเตือน เราสามารถรับสัญญาณบอกอาการผิดปกติของรถได้ โดยใช้ประสาททั้ง 5 คือ การเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การจับต้องชิ้นส่วนนั้น ๆ และการลองขับดู ถ้าสังเกตพบสิ่งผิดปกติต่อไปนี้ ให้รีบทำการตรวจเช็คและซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม
2. เครื่องยนต์ เครื่องยนต์คือหัวใจของรถ ถ้าเครื่องยนต์มีอาการดังนี้
- เครื่องร้อนจัดเกินไป ขับไปได้ไม่เท่าไร ความร้อนก็ขึ้นสูงเสียแล้ว
- เครื่องเย็นเกินไป แม้จะขับมาระยะทางไกลพอสมควรแล้ว เข็มวัดอุณหภูมิยังไม่กระดิก
- มีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์
ควรนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
3. ยาง การสึกหรอของดอกยางแบบต่าง ๆ บอกเราได้ว่ายางผิดปกติไปอย่างไร
- ดอกยางตรงกลางล้อ สึกหรอมากกว่าขอบ แสดงว่าเติมลมแข็งเกินไป
- ดอกยางขอบล้อ สึกหรอมากกว่าตรงกลาง แสดงว่าเติมลมอ่อนเกินไป
- ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่ามุมแนวตั้งของยางไม่ตรง
- ดอกยางเป็นบั้ง ๆ แสดงว่าแนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ
ควรนำรถเข้าอู่เพื่อตั้งศูนย์ล้อ หรือปรับแรงดันลมยางใหม่
4. คลัตซ์ คลัตซ์ที่มีปัญหา จะทำให้ควบคุมเกียร์ไม่ได้ อย่าละเลยอาการเหล่านี้
- คลัตซ์ลื่น หรือเข้าคลัตซ์ไม่สนิท หรือเหยียบแป้นคลัตซ์แล้ว แต่ยังเข้าเกียร์ได้ยาก
- คลัตซ์มีเสียงดัง เมื่อเหยียบแป้นคลัตซ์
- แป้นคลัตซ์สั่นขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะกำลังขับ
ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมช่วงล่าง หรือศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
5. เกียร์ เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงบิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็ว สัญญาณบอกเหตุว่าเกียร์มีปัญหาคือ
- มีเสียงดังทั้งในขณะอยู่ที่เกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่งอยู่
- เปลี่ยนเกียร์ยาก มีอาการติดขัด หรือต้องขยับอยู่นาน
- มีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ ทั้ง ๆที่เหยียบคลัตซ์แล้ว
- ห้องเกียร์มีน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา
ควรนำรถเข้าอู่ตรวจสอบห้องเกียร์
6. พวงมาลัย พวงมาลัยที่มีปัญหาเหล่านี้ จะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ยางเฟืองท้าย ชำรุดตามไปด้วย
- พวงมาลัยหนัก หรือต้องใช้แรงมากผิดปกติในการบังคับเลี้ยว
- พวงมาลัยหลวมเกินไป โดยมีระยะฟรีเกิน 1 นิ้ว
- พวงมาลัยสั่นในขณะขับ
ควรนำเข้าศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
7. เบรก ถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติ ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเบรกชำรุด นำมาซึ่งอุบัติภัยได้ง่ายที่สุด
- เบรกลื่น หยุดรถไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ
- เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง
- แป้นเบรกยังจมลึกลงไปทั้ง ๆ ที่ถอนเท้าออกมาแล้ว
ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมเบรกทันที
8. ไฟชาร์จ ควรจะปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดทุกครั้งที่เราสตาร์ทเครื่อง และเมื่อสตาร์ทติดแล้ว ครู่หนึ่งก็จะดับลง แต่ถ้าไฟชาร์จไม่สว่าง หรือสว่างแล้วไม่ยอมดับ อาจเกิดจากไดชาร์จผิดปกติหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้ ที่แน่ ๆ คือไม่ควร ปล่อยทิ้งไว้ รีบนำรถเข้าอู่ไดชาร์จหรือระบบไฟ
9. หลอดไฟ หลอดไฟขาดบ่อย ๆ หรือต้องเติมน้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่บ่อยเกินไป แสดงว่าอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า “เรกูเลเตอร์” ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟให้ เหมาะสมชำรุด ควรนำรถเข้าอู่ระบบไฟ เพื่อซ่อมเรกูเลเตอร์ หรือหากชำรุดก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่
10. น้ำมันหล่อลื่น ถ้าสัญญาณไฟเตือนระบบน้ำมันหล่อลื่นสว่างขึ้นในขณะขับขี่รถยนต์ หมายถึงว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานโดยปราศจากน้ำมันหล่อลื่น รีบนำรถไปยังอู่ที่ใกล้ที่สุดทันทีถ้าอู่อยู่ไกล ให้เติมน้ำมันเครื่องใส่ลงในถังน้ำมันหล่อลื่นไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นแห้ง ควรใช้รถ ลากไปอู่ซ่อม
ความรู้เล็กๆ จาก Q4CAR
วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556
อย่าทิ้งเด็กไว้ในรถ แค่ 30 นาทีก็ช็อกเสียชีวิตได้
แม้จะมีข่าวให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ แต่เหตุการณ์ที่พ่อแม่ผู้ปกครองลืมลูกหลานทิ้งไว้ในรถยนต์ก็ยังคงเกิดขึ้น ซึ่งหลาย ๆ กรณี เด็กอาจจะโชคดีรอดชีวิต เพราะได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที แต่ก็ยังมีอีกหลายกรณีที่เด็กโชคร้ายติดอยู่ภายในรถยนต์เป็นเวลานานจนหมดสติ ช็อก บางรายถึงขั้นเสียชีวิต
อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา กรณี ด.ญ.มนัสนันท์ ทองภู่ หรือ น้องเอย อายุ 3 ปี นักเรียนชั้นเตรียมอนุบาล 1 โรงเรียนอนุบาลอนงค์เวท จ.สมุทรปราการ ถูกทิ้งให้อยู่ภายในรถตู้ของโรงเรียนเป็นเวลานานกว่า 7 ชั่วโมง อันเกิดจากความประมาทของครูพี่เลี้ยง ทำให้อาการของน้องเอยเข้าขั้นโคม่า สมองบวม ก้านสมองไม่ตอบสนอง ซึ่งแพทย์ก็ลงความเห็นว่า โอกาสที่น้องเอยจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมมีน้อยมาก
หลาย คนที่ได้ยินข่าวเด็กติดอยู่ในรถอาจจะคิดว่า ที่เด็กมีอาการโคม่าขนาดนี้เป็นเพราะขาดอากาศหายใจ เนื่องจากประตูหน้าต่างปิดสนิท แต่หากไปสอบถาม นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี จะทราบว่า แท้จริงแล้วเด็กส่วนใหญ่ที่ติดอยู่ในรถไม่ได้เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ แต่เป็นเพราะความร้อนภายในรถที่สูงขึ้นต่างหาก
ทั้งนี้ นพ.อดิศักดิ์ อธิบายว่า หากเด็กเข้าไป อยู่ในรถที่จอดอยู่กลางแดดเพียงแค่ 5 นาที อุณหภูมิภายในรถก็จะสูงขึ้นจนไม่สามารถทนอยู่ได้แล้ว หากติดนานเกิน 10 นาที ร่างกายก็จะยิ่งแย่ และถ้าอยู่นานถึง 30 นาที ก็อาจเสียชีวิตได้ เพราะปกติร่างกายของคนเราจะรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 37 องศาเซลเซียส แต่เมื่อติดอยู่ในรถที่มีความร้อน ร่างกายก็จะขับความร้อนออกมาในรูปของเหงื่อ หากอุณหภูมิภายในรถยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะถึงจุดที่ ร่างกายทนไม่ไหว ทำให้กระบวนการขับความร้อนของร่างกายที่มาในรูปของเหงื่อหยุดทำงาน เมื่อกระบวนการขับความร้อนหยุดทำงาน เด็กจะเกิดภาวะเลือดเป็นกรด ช็อก หมดสติ สมองบวมตามมา จากนั้น อาจหยุดหายใจ และอวัยวะทุกอย่างก็จะหยุดทำงาน
คุณ หมอยังอธิบายต่อว่า การจะตรวจสอบว่าเด็กติดอยู่ในรถนานแล้วหรือไม่นั้น ให้ดูจากลักษณะร่างกาย หากเด็กติดอยู่ในรถยังไม่นาน เด็กจะมีสภาพตัวแดง ๆ อยู่ แต่ถ้าเด็กติดในรถเป็นเวลานานแล้วจะมีลักษณะตัวซีด เพราะเลือดเป็นกรด และอวัยวะหยุดทำงานแล้วนั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อแม่ผู้ปกครอง รวมทั้งคุณครูโรงเรียนที่ดูแลเด็กเล็ก ๆ ต้องระมัดระวังบุตรหลานให้มากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ "อย่าทิ้งเด็กไว้ในรถ" ไม่ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะลงจากรถไปทำธุระเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ไม่ควรปล่อยเด็กให้อยู่ในรถตามลำพังเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจอดรถอยู่กลางแจ้ง เพราะเด็กอาจจะเสียชีวิตจากความร้อนภายในรถที่เพิ่มสูงขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม หลาย คนอาจเข้าใจว่า ถ้าเปิดกระจกแง้ม ๆ ไว้เล็กน้อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่จริง ๆ แล้ว อย่าลืมว่า เด็กเสียชีวิตเพราะความร้อน ไม่ได้เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ดังนั้น แม้จะเปิดกระจกแง้ม ๆ ไว้ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก หรือแม้แต่จอดรถในที่ร่มก็ถือว่ามีความเสี่ยงที่เด็กจะเสียชีวิตได้เช่นกัน แต่อาจใช้เวลานานกว่าจอดรถกลางแจ้ง
นอกจากนี้ แม้แต่การเปิดแอร์ทิ้งไว้แล้วในรถก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ อย่างที่ปรากฏข่าวผู้ใหญ่เปิดแอร์นอนอยู่ในรถแล้วเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง นั่นเพราะเมื่อจอดรถติดเครื่องยนต์ไว้ คนในรถจะสูดดมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เซื่องซึม สั่น กระตุก หากสูดดมก๊าซเข้าไปมาก ๆ อาจมีอาการหายใจติดขัด หมดสติโดยไม่รู้ตัว เพราะฮีโมลโกลบินจะน้อยกว่าปกติ ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ และกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ทันที
จาก Q4CAR
วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556
5 วิธีเตรียมตัวขับรถไปลัลล้าต่างจังหวัด
1.เตรียมตัว
ก่อนออกเดินทางไกล ควรนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ และไม่กินยาที่ทำให้ง่วง เช่น ยาแก้แพ้ (ซูลิดีน) เป็นต้น และศึกษาเส้นทางที่จะขับไปให้ดี และวางแผนเรียบร้อยแล้วว่าจะขับไปทางไหน ดูว่าบริเวณไหนมีปั๊ม ห้องน้ำ จุดพักรถ หรือทางโค้งทางชันบ้าง เป็นต้น ถ้าจะให้ดีควรมีเนวิเกเตอร์ หรือ GPS ติดรถไว้ในรถสักเครื่อง ไว้บอกเส้นทางเพื่อความสบายใจค่ะ
2.เตรียมรถ
เช็คสภาพรถก่อนเดินทางสัก 1 อาทิตย์ ให้มั่นใจว่าไม่มีส่วนใดบกพร่อง หากพบว่ามีจะได้แก้ไขทันท่วงที ที่สำคัญช่วงนี้เข้าฤดูฝน ควรเช็คให้ดีเป็นพิเศษในเรื่อง
น้ำมันเบรค ผ้าเบรค และน้ำมันเครื่อง
ที่ปัดน้ำฝน ว่าทั้ง 2 ข้างปัดได้ดี ไม่เปื่อย ไม่ชำรุด เพราะหากเจอฝนตกหนักระหว่างทางจะได้มองเห็นทางได้
เช็คกระจกข้าง กระจกมองหลัง ปรับและทำความสะอาดให้ดี ทางที่ดีควรเคลือบกระจกรอบคัน เพราะจะช่วยเวลาฝนตก ทำให้น้ำฝนไม่เกาะกระจก มีทัศนวิสัยดีขึ้น
ไฟสัญญาณเช็คให้เรียบร้อยทุกดวง ทั้งไฟส่องทาง ไฟสูง ไฟต่ำ ไฟเลี้ยว ไฟขอทาง ไฟเบรค
ตรวจดูน้ำในหม้อน้ำระบายความร้อน การเติมน้ำยาป้องกันหม้อน้ำเดือด จะช่วยป้องกันสนิมและตะกรันไม่ให้เกาะหม้อน้ำได้
ยางรถ ตรวจเช็คลมยางก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ก่อนวิ่งระยะทางไกลๆ ให้เติมเยอะกว่าปกติไปสัก 1-2 ปอนด์ (ถ้าปกติเติม 30 ก็อาจจะเติม สัก 32 ) รวมถึงยางอะไหล่ด้วย
ดูเหมือนจะเยอะแต่จริง ๆ ใช้เวลาในการเช็คประมาณ 15 นาทีเอง ถ้าจะให้ดีควรตรวจเช็ครถเป็นประจำอาทิตย์ละครั้ง ที่สำคัญ…อย่าลืมเติมน้ำมันก่อนออกเดินทางนะคะ
3. ยืดอกพก
-น้ำ : 1-2 ลิตร ไว้ในรถตลอดเวลา เผื่อทั้งคน เผื่อทั้งรถ
-คู่มือรถ : โดยเฉพาะรถใหม่ ต้องติดป้ายแดง และพกเล่มนี้ไว้เสมอ หากขับข้ามจังหวัด ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หรือ 18.00 น. เราต้องเขียนลงบันทึกในเล่มนี้ ว่าจะขับไปไหนเมื่อไหร่ กลับวัน เวลาไหน ลงชื่อคนขับ แต่จะมีปัญหาตอนกลางคืนหลัง 18.00 น. ที่ต้องเขียนบันทึกเวลาเหมือนกัน แต่ต้องมีนายทะเบียนเซ็นกำกับด้วย ให้ศึกษากฏหมายตรงหน้าปกในเล่มก่อนเดินทางค่ะ
-แว่นกันแดด : หากขับรถแล้วเจอแสงแดดจ้า โดยธรรมชาติเราจะหรี่ตา หรือเอามือขึ้นมาป้อง ซึ่งไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น ควรสวมแว่นกันแดดจะดีกว่า เป็นการถนอมสายตากว่าอีกด้วยค่ะ
-ผ้าเย็น หรือทิชชูเปียก : ไว้เช็ดหน้า เช็ดมือ ทำให้สดชื่น และยังช่วยลดแบคทีเรียได้ด้วยค่ะ
4.How to Drive:
การขับรถช่วงวันหยุดยาว รถบนถนนมักจะเยอะกว่าปกติ อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น จึงควรระมัดระวังในการขับให้มากขึ้น จึงขอแนะนำว่า
เดินทางในเวลากลางวัน เพราะทัศนวิสัยโดยรอบในค่ำคืนจะค่อนข้างอันตราย อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น ยิ่งถ้าขับรถไปต่างจังหวัดตามถนนที่ห่างไกลจากชุมชน จะพบแต่ความมืด เห็นก็แต่เฉพาะในที่ที่แสงไฟจากรถยนต์ส่องไปถึง
ควรขับด้วยความเร็วที่จำกัด ไม่เร็วมาก ช่วงนี้ฝนตกบ่อย หากถนนเปียกควรลดความเร็วลง 2 ใน 3 ของการขับบนถนนแห้ง เพื่อยางเกาะถนนได้ดีขึ้น
อย่าขับจี้คันหน้า และอย่าตามรถใหญ่มากเกิน เพราะถนนบางช่วงจะมีเศษหินกระเด็นมาโดนกระโปรงรถ หรือกระจกหน้าเป็นรอยได้
หลีกเลี่ยงการแซง ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ควรใจร้อน หรือขับด้วยความประมาทเลินเล่อ ควรมีสติตลอดเวลาขณะขับรถ ที่สำคัญ “เมาไม่ขับ” เพราะหากเกิดอะไรขึ้นจะเสียทั้งเวลา เสียเงิน แล้วอาจเสียใจไปตลอดชีวิตอีกด้วย ไม่คุ้มกันเลยค่ะ
5.เตรียมอุปกรณ์สื่อสาร
มือถืออย่าลืมชาร์ตโทรศัพท์ให้พร้อมใช้เสมอ และนำที่ชาร์ตติดรถไปด้วย เตรียมเบอร์โทรศัพท์เผื่อฉุกเฉิน หรือใช้ในการสอบถามทาง เช่น ทางหลวง โทร. 1586 เป็นต้น
จาก Q4CAR
วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556
เตรียม ‘รถ’ ให้พร้อมก่อนออนทัวร์ช่วงสงกรานต์
มาอีกแล้วครับ!!! เทสกาลมหาสนุกของชาวไทยกับเทศกาลสงกรานต์ ที่หลายคนวางแผนหยุดกันยาวนับ 10 วันเลยทีเดียว งานนี้หลายคนคงมีแผนอยู่ในใจแล้ว ทั้งกลับบ้านไปเยี่ยมเยียนปู่ย่าตายาย พ่อแม่พี่น้อง พ่วงด้วยการเตรียมไปเที่ยวกันอย่างหนำใจให้สมกับอากาศที่สุดแสนจะร้อนระอุ และถ้าคุณมีแผนการใช้รถก็น่าจะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง
การเตรียมรถให้พร้อมก่อนเดินทางนั้น ถือเป็นเรื่องคุณควรกระทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะใครที่ชอบเดินทางไปยัง ป่า เขา ลำเนา ไพร เพราะ การเตรียมพร้อมช่วยให้รถคุณไม่มีปัญหาในการขับขี่และพร้อมสำหรับเส้นทางที่คุณอาจจะเจออุปสรรค ซึ่งการที่เราเตรียมตัวไว้อย่างดีช่วยรถปัญหาที่จะทำให้วันสุดสนุกกลายเป็นหายนะ และยังช่วยคุณเซฟเงินไว้เที่ยวให้เต็มที่ด้วยนะ
1. ถ่ายน้ำมันเครื่อง เมื่อพูดถึงรถ เราคงต้องนึกถึงเครื่องยนต์เป็นอย่างแรก ซึ่งถ้าเป็นไปได้งบเหลือๆ นั้น เราแนะนำให้คุณเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเสียก่อน เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์นั้นเต็มร้อยก่อนออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งความจริงแล้วน้ำมันเครื่องที่ใช้ไปเป็นระยะเวลานาน จะเกิดความหนืดมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากคุณเดินทางต่างจังหวัด โดยความเร็วสูงบ่อยๆ หรือเครื่องยนต์ทำงานตลอดเวลา น้ำมันก็จะเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น และถ้าคุณใช้น้ำมันที่ใกล้ถึงระยะเปลี่ยนถ่ายอาจส่งผลให้เครื่องยนต์สึกหรอ หรือร้ายที่สุดก็พังเลยก็เคยเห็นมาแล้ว
2. ตรวจสอบระบบหล่อเย็น เรื่องการระบายความร้อนก็สำคัญไม่แพ้กัน และมันเป็นอะไรที่คุณควรทำเสีย การเช็คระบบหล่อเย็นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งช่างเพียงคุณตรวจดูบริเวณหม้อน้ำหารอยซึมหรือรั่ว จากนั้นสังเกตกระปุกพักน้ำสำรองว่ามีคราบสนิมหรือไม่ ถ้าคุณพบว่าน้ำหล่อเย็นคุณมีสีสนิมนั้น ก็ควรที่จะไปให้ช่างผู้ชำนาญการเปลี่ยนถ่าย หรือเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการ เพราะการที่น้ำหล่อเย็นมีสีผิดปกติ แสดงว่า น้ำยาเสื่อมคุณภาพ ซึ่งปกติน้ำยาจะมีอายุการใช้งานเพียง 2-3 ปีเท่านั้น ซึ่งเมื่อน้ำยาเสื่อมคุณภาพมันก็จะระบายความร้อนไม่ดี มีสิทธิ์ที่คุณจะเจออาการเครื่องฮีทระหว่างทางและหมดสนุกได้
3. ตรวจเช็คระบบเบรกและช่วงล่าง เบรกคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทาง และพวกมันควรอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะใครที่วางแผนไปเที่ยวทางทางเหนือที่คุณจะต้องผ่านนับพันโค้งเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง หากคุณพบว่ารถคุณมีเสียงในขณะห้ามล้อหรือมีอาการผิดปกติ เช่นมีระยะเบรกมากกว่าปกติ ก็ควรรีบทำการตรวจสอบโดยทันที เพราะเส้นทางต่างจังหวัดนั้น เบรกคือสิ่งสำคัญ
ช่วงล่างหรือระบบกันสะเทือนก็เช่นกัน หลายคนคิดว่า ชุดช่วงล่างจะใช้กันยาวนานนับ 10 ปี ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิด การตรวจสอบช่วงล่างนั้น ทำได้ด้วยการจับความรู้สึกรถ และทดสอบโยกจากภายนอกด้วยตัวเอง ถ้ารถมีระยะยุบมาก หรือคืนตัวช้า แสดงว่าระบบช่วงล่างมีการสึกหรอ หรือ ถ้าคุณขับจะรู้สึกว่ารถจะมีความนิ่มนวลกว่าปกติ ...อย่าปล่อยไว้รีบไปตรวจสอบทันทีในบัดดล
4. ยางและระบบบังคับเลี้ยว ยางอาจจะดูไม่สำคัญ แต่เชื่อหรือไม่ว่าการที่คุณขับรถต่างจังหวัดนั้นมีโอกาสยางระเบิดมากกว่าปกติเลยทีเดียว ดังนั้นถ้ายางคุณเริ่มมีการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานควรทำการเติมลมเพิ่มจากปกติ 1-2 ปอนด์ (ยกเว้นกรณีคุณเติมลมแข็งอยู่แล้ว) เพราะลมยางที่มากช่วยป้องกันยางระเบิดได้พอสมควร หรือถ้าไม่มันใจ ก็หาร้านเติมลมในโตรเจนที่เฉลี่ย 4 ล้อเพียง 200 บาทเท่านั้น อาจจะดูแล้วแพงแต่มันช่วยชีวิตคุณได้นะ
ระบบบังคับเลี้ยวก็เช่นกัน มันเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะถ้าคุณเลี้ยวไม่ได้ รับรองไม่ข้างทางก็ด้านหน้า เลือกเอาตามสะดวกเลย เราหลายคนไม่เคยตรวจเช็คระบบบังคับเลี้ยว โดยเฉพาะปั้มระบบผ่อนแรงหรือพวงมาลัยพาวเวอร์ที่อาจจะทำให้คุณกล้ามโตได้หากเสียระหว่างทาง ฟังดูอาจจะไม่ร้ายแรงนัก แต่คุณก็ควรจะทำการตรวจสอบเอาไว้ให้มั่นใจในการขับขี่ โดยสังเกตจากกระปุกน้ำมันพาวเวอร์ หากมีสีเข้มกว่าสีแดงปกติ เปลี่ยนถ่ายมันโดยช่างผู้ชำนาญการก็เป็นอะไรที่เข้าท่า
5. คนขับ คุณเองก็ต้องการการเตรียมพร้อมเพื่อการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพและมันทำให้การเดินทางของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย ในต่างประเทศมีวิจัยพบว่าถ้าคนจะขับรถได้มีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อเขานอนพักผ่อน 2- 3 วัน อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง บนที่นอน ซึ่งนอกจากการพักผ่อนแล้วสุขภาพก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ควรจะทำร่างกายให้แข็งแรงก่อนการเดินทาง
ทั้งหมดนี้เป็น 5 ข้อที่ควรจะทำก่อนไปเที่ยวสงกรานต์ ยังไงขับรถไปเที่ยวก็ใช้ความระมัดระวังและมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทางสักนิด จะได้ไปสนุกด้วยกันทุกคนครับ
เพื่อการเดินทางปลอดภัยของทุกท่านจาก Q4CAR
วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556
วิธีดูแลสีรถหลังสงกรานต์
เทศกาลสงกรานต์เป็นประเพณีคลายร้อนประจำเดือนเมษายน ซึ่งงมีการประแป้ง สาดน้ำ ไม่เฉพาะกับคนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงรถยนต์ตามถนนต่างๆ และเมื่อจบเทศกาลสงกรานต์ ก็ควรมีวิธีจัดการคราบบนตัวถังของรถยนต์อย่างถูกต้อง
กลางเดือนเมษายนของทุกปี จะมีเทศกาลการเล่นสงกรานต์ของไทย ซึ่งในปัจจุบัน มีการสาดน้ำ และประแป้งใส่รถยนต์ในเกือบทุกเส้นถนน ซึ่งน้ำผสมดินสอพองที่นำมาสาดหรือแปะเข้ากับตัวถังของรถยนต์นั้น มักจะเป็นที่มาของคราบและการทำร้ายของสีตัวถังของรถยนต์ได้
วิธีการจัดการคราบดินสอพองเปียกบนตัวถังรถ ขั้นแรกคือการใช้น้ำเปล่าล้าง เพื่อขจัดคราบออก โดยไม่ควรปล่อยให้คราบแห้งเกินกว่า 1 วัน เพราะคราบดินสอพองอาจทำให้เกิดรอยบนเนื้อสีตัวถัง จนอาจจะเกิดรอยด่างบนตัวถังรถได้ และล้างคราบบนตัวถังจนหมดแล้ว ก็ควรเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
เพื่อเป็นการทำให้ตัวถังขจัดคราบดินสอพองเปียกและน้ำที่อาจสกปรกอย่างแท้จริง อาจทำการนำรถยนต์เข้าร้านล้างรถที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อทำการขัดลบรอย และเคลือบสี ตัวถังรถยนต์จึงจะมีความสวย เงางาม คู่ตัวรถเสมือนใหม่
เพื่อรถยนต์อันแสนรักของท่าน Q4CAR
วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556
มารู้จักวิธี "สตาร์ทรถ" ที่ถูกต้องกันเถอะ
การสตาร์ทรถยนต์มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะหากเราทำผิด หรือรีบร้อนเกินไปบ่อย ๆ จะ่ทำให้สมรรถนะและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ด้วยลงไป ซึ่งในระบบสตาร์ทรถยนต์โดยทั่วไป ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลที่กุญแจสตาร์ทจะต้องบิดกุญแจ 3 จังหวะ คือ AC , ON และ START ผู้ขับขี่บางท่านอาจจะปิดกุญแจรวดเดียว 3 จังหวะไปที่ START ถ้ารถท่านเป็นรถใหม่ก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ารถท่านผ่านการใช้งานมานาน ๆ อาจต้องสตาร์ทหลายครั้งก่อนที่เครื่องยนต์จะติด ซึ่งระหว่างที่ท่านสตาร์ทรถหลาย ๆ ครั้งนั้น ท่านกำลังทำลายระบบสตาร์ทให้อายุการใช้งานสั้นลง
ข้อแนะนำการสตาร์ทรถที่ถูกวิธี โดยที่ท่านจะไม่ต้องมานั่งสตาร์ท แชะ แชะ แชะ ให้เสียฟอร์มอีกต่อไป และยังเป็นการยืดอายุการใช้งานของระบบสตาร์ทให้ใช้งานได้ดีและอยู่ให้ท่าน ใช้งานได้ไปอีกนานแสนนาน ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
1. ก่อนสตาร์ทรถให้ท่านปิดอุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟทั้งหมดภายในรถของ เช่น เครื่องปรับอากาศ , ไฟหน้า , ระบบเครื่องเสียงรถ ระบบไฟต่าง ๆ ภายในรถเพื่อให้แบตเตอร์รี่พร้อมที่จะจ่ายไฟได้เต็มที่
2. กรณีเกียร์ ธรรมดา กรุณาเข้าเกียร์ว่าง หรือ เหยีบครัชให้สุด สำหรับเกียร์ AUTO ให้เข้าเกียร์ที่ตำแหน่ง N หรือ P เพื่อผ่อนแรงมอร์เตอร์สตาร์ท
3. บิดกุญแจมาที่ตำแหน่ง ON ค้างไว้ ตราวจเช็คไฟเตือนต่าง (รายละเอียดให้ศึกษาจากคู่มือรถ) รอจนไฟเตือนหัวเผารูปขดสปริงเปลี่ยนจาก สีแดงเป็นสีเขียว (หากเครื่องยนต์เย็น หรือไม่ได้สตาร์มานาน ควรกดแป้นคันเร่ง 1 ครั้ง)
4. บิดกุญแจสตาร์ทรถเท่านี้คุณก็ไม่ต้องนั่งเสียฟอร์มสตาร์รถอีกต่อไป ข้อควรปฏิบัติ ขอให้ทำจนเป็นนิสัยไม่ว่าจะเป็นรถเก่าหรือรถใหม่นะครับ แล้วท่านจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
เทคนิคเล็กๆจากเรา Q4CAR ที่นำมาฝากกัน
วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556
เทคนิคการดูแลหม้อน้ำในหน้าร้อน
หม้อน้ำนั้น เป็นตัวช่วยระบายความร้อนในการทำงานของเครื่องยนต์ การระบายความร้อนของรถยนต์ โดยทั่วไปจะใช้น้ำเป็นตัวระบายความร้อน ซึ่งต้องมีการดูแลระดับน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ
ซึ่งถ้าขาดการดูแลแล้ว เครื่องยนต์ก็จะมีความร้อนสูง และอาจเสียหายได้ ซึงโดยปกติ ถ้าหากรถยนต์ขาดระดับน้ำที่เหมาะสมจะมีสัญญาณเตือนบริเวณหน้าปัดของรถตรงบริเวณใกล้กับเรือนไมล์บอกความเร็ว เ็ป็นเข็มบอกโดยใช้สัญลักษณ์เป็น C เท่ากับ Cool คือเย็น และ H คือ Hot คือ ร้อน ระดับความร้อนของเครื่องยนต์ต้องได้รับการเติมน้ำในระดับที่ถูกต้อง เข็มวัดความร้อนควรจะอยู่ในระดับปานกลางระหว่าง C กับ H ถ้าขาดการดูแลระดับน้ำ ความร้อนจะขึ้นถึงตัว H หรือเลยขึ้นไป ถ้ามีระดับความร้อนขนาดนี้ อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ จึงต้องรีบหาน้ำมาเติมโดยเร็ว ส่วนน้ำที่ใช้ในการเติมหม้อน้ำ คือ น้ำธรรมดาที่ใสไม่มีตะกอน เช่น น้ำปะปาทั่วไป
ส่วนขั้นตอนในการเติมน้ำในหม้อน้ำรถยนต์ สามารถแบ่งได้ตามลักษณะของหม้อน้ำ ดังนี้
1. หม้อน้ำที่ไม่มีหม้อพักน้ำสำรอง กรณีนี้จะเป็นรถรุ่นเก่า ซึ่งไม่มีหม้อพักน้ำสำรองให้เราดูระดับน้ำ ทำให้ต้องเปิดฝาหม้อน้ำโดยตรง และดูว่าระดับน้ำในหม้อน้ำนั้นลดลงหรือไม่ ถ้าลดลงก็เติมน้ำลงไปให้เต็มพอปิดฝาหม้อน้ำได้ อย่าให้น้ำล้นออกมามาก ในกรณีนี้ต้องคอยเปิดดูระดับน้ำทุกวันเพราะไม่มีหม้อพักน้ำสำรองให้
2. หม้อน้ำที่มีหม้อพักน้ำสำรองแต่ยังมีฝาปิดหม้อน้ำให้เติม สำหรับระบบนี้จะเป็นระบบที่ใช้กับรถรุ่นใหม่กว่า ข้อ 1 คือในส่วนของหม้อน้ำจะมีที่เก็บน้ำสำรองเป็นพลาสติกติดอยู่ข้างหม้อน้ำ และมีสายต่อโยงถึงกัน ในระบบนี้ถ้าจะเติมน้ำลงไปในหม้อน้ำ ต้องเติมให้หม้อน้ำเต็มตามระดับที่เหมาะสมเสียก่อน แล้วค่อยเติมน้ำลงไปในหม้อน้ำสำรอง การเติมน้ำในหม้อน้ำพักน้ำสำรองต้องเติมตามจำนวนที่เหมาะสม ห้ามเกินขีดที่กำหนดไว้ ซึ่งจะกำหนดไว้ ดังนี้
MAX คือ จำนวนน้ำมากที่สุดอยู่ที่ระดับนี้ ห้ามเติมน้ำจนเกินระดับนี้โดยเด็ดขาด
MIN คือ จำนวนน้ำมีน้อย ต้องเติมน้ำเข้าไปให้อยู่ในระดับ MAX
หม้อน้ำที่มีถังพักน้ำสำรองจะมีส่วนดีคือ น้ำที่เติมลงไปจะสูญเสียน้อย คือเมื่อได้รับความร้อนกลายเป็นไอ ก็จะถูกดันให้มารวมตัวเป็นหยดน้ำที่หม้อพักน้ำนี้ และเมื่อหม้อพักน้ำเครื่องเย็นลง ก็จะทำการระบายความร้อนต่อไป
ถ้ารถมีหม้อน้ำสำรองก็สามารถช่วยประหยัดเวลาในการดูแลระดับน้ำในหม้อน้ำได้ และไม่ต้องตรวจเช็คระดับน้ำเป็นประจำ อาจตรวจเช็คประมาณ 15-30 วันต่อครั้ง
3. หม้อน้ำที่มีหม้อพักน้ำสำรอง แต่ไม่มีฝาเติมน้ำโดยตรงจากหม้อน้ำ ระบบนี้เป็นระบบที่ใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ คือการเติมน้ำในหม้อน้ำจะเติมได้ทางเดียวคือ บริเวณหม้อพักน้ำสำรอง และจะไม่มีการเติมน้ำผ่านหม้อน้ำโดยตรง ส่วนการดูแลระดับน้ำนั้น จะใช้วิธีเดียวกับการเติมน้ำในหม้อน้ำตามแบบที่ 2 แต่ไม่ต้องเติมน้ำที่หม้อน้ำ เพราะสามารถเติมผ่านหม้อพักน้ำสำรองได้เลย ส่วนการดูแลระดับน้ำก็เช่นกัน หม้อน้ำแบบนี้ไม่จำเป็นต้องดูแลบ่อย ประมาณ 15-30 วันจึงค่อยตรวจเช็ค
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)