วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หลายหลายเรื่องรถที่คุณยังไม่รู้


ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น ล้วนแล้วมีกิจกรรมหลายอย่างที่ต้องทำ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าแต่ละอย่างที่คุณทำนั้นได้ทำลายสภาพแวดล้อมไปมากน้อยแค่ไหน บางคนอาจจะมองข้ามไปว่าสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เรานั้นเป็นเพียงเรื่องที่ไม่น่าสนใจ

แต่เชื่อเถอะว่าทุกกิจกรรมของมนุษย์นั้นได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น รวมถึงการใช้รถยนต์ด้วยเกริ่นมาขนาดนี้แล้ว เพื่อบอกท่านผู้อ่านทุกท่านถึงวิธีการดูแลรักษารถยนต์แบบง่ายๆที่สามารถช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปในตัวด้วย

1. วิธีล้างรถยนต์ ล้างรถยนต์ด้วยฟองน้ำ และใช้ถังน้ำจะใช้น้ำ เพียง 15 แกลลอน แต่ถ้าล้างด้วยสายยาง จะต้อง สูญเสียน้ำถึง 150 แกลลอน

2. ดูแลรักษารถ ด้วยการเปลี่ยน น้ำมันเครื่อง การดูแลรักษารถ จะต้องทำอย่าง สม่ำเสมอ ได้แก่ การเปลี่ยน น้ำมันเครื่อง ตามระยะเวลา ที่ระบุไว้ในคู่มือ และทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่าย น้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนไส้กรองด้วย

3. รักษารถด้วยการเปลี่ยนไส้กรอง
ไส้กรองอากาศที่ สกปรกจะทำให้ การไหลของ อากาศที่สะอาด ทำได้น้อยลง มีผลต่อการเผา ไหม้ของเครื่องยนต์ด้วย

4. รักษารถช่วยลดมลพิษ การดูแลรักษารถ จะทำให้รถ สามารถวิ่งได้เพิ่มขึ้น อีก 10% ของจำนวนไมล์ ซึ่งเท่ากับสามารถลด ราคาเชื้อเพลิงลงได้ถึง 10% เช่นกัน การลดการ ใช้เชื้อเพลิงลงก็เท่ากับ เป็นการช่วยลดมลพิษทาง อากาศให้กับโลกได้ด้วย

5. ยางรถยนต์ ช่วยประหยัดน้ำมัน การเติมลมยางรถ ให้พอดี และขับรถตามข้อ กำหนดความเร็ว จะช่วยในการ ประหยัดน้ำมันได้

6. วิธีป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเครื่อง การป้องกัน การรั่วไหลของ น้ำมันเครื่องจากตัวถัง รถยนต์สามารถทำได้ ด้วยการปิด สลักเกลียวใน เครื่องยนต์ทุกตัวให้แน่น โดยเฉพาะในส่วนที่ซึ่ง น้ำมันเครื่องรั่วไหลออกไปได้ ช่วยป้องกันการรั่ว ไหลของน้ำมันเพื่อลดมลพิษ ให้กับอากาศของเรา

7. ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อไหร่ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เมื่อขับรถได้ทุกๆ ระยะ 3,000 - 4,000 ไมล์ และควรเลือกใช้ไส้กรอง ที่ดีที่ สุดด้วย

8. การเพิ่มออกซิเจน ในน้ำมัน วิธีการหนึ่ง ที่จะช่วยลดมลพิษ ให้กับรถยนต์ก็คือ การเพิ่มส่วนผสมของ ออกซิเจนในน้ำมัน ซึ่งจะ ช่วยลดปริมาณ การเกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซต์ ลงได้เป็นจำนวนมาก

9. รถยนต์ผลิตคาร์บอนมอนนอกไซด์ ทุก ๆ ปี รถยนต์คันหนึ่ง ๆ จะผลิตก๊าซ คาร์บอน มอนนอกไซด์ออกมาสู่ บรรยากาศโลกได้ ในปริมาณที่มีน้ำหนัก เท่ากับตัวรถเอง

10. น้ำมันก๊าซโซลีน เผาไหม้เกิดเป็น คาร์บอนไดออกไซด์ ทุกๆ แกลลอน ของก๊าซโซลีน ในรถยนต์ที่ถูกเผา ไหม้จะทำให้เกิดก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ จำนวนถึง 9000 กรัม กระจายขึ้นสู่ ชั้นบรรยากาศโลก

11. ทำอย่างไรกับ น้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว น้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว จากรถยนต์จะก่อ มลภาวะ ให้เกิดกับแหล่งน้ำ และผิวดินได้ หากมีการกำจัดที่ ไม่เหมาะสม ทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ให้ ถ่ายเทน้ำมันเครื่อง ที่ใช้แล้วลงใน ภาชนะ ที่ปิดฝา แล้วส่งคืนให้กับสถานีบริการ

12. รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โลกได้ผลิตรถยนต์ ชนิดใหม่เพื่อลดมลพิษ ให้กับท้องถนน รถยนต์ที่ผลิตขึ้นใหม่นี้ ขับเคลื่อนโดย ขบวนการเปลี่ยนไฮโดรเจนเหลว ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า โดยไม่ต้องผ่านขบวนการเผาไหม้ ลักษณะของรถยนต์ พลังงานไฮโดรเจนเหลว รถยนต์พลังงาน ไฮโดรเจนเหลวนี้ มีลักษณะเดียวกับ รถไฟฟ้า แต่แตกต่างกันตรงที่มี ถังเก็บไฮโดรเจนเหลว แทนแบตเตอรี่ ปัจจุบันพลังงาน ไฮโดรเจนเหลว กำลังได้รับการพัฒนารูปแบบ เพื่อที่จะนำมาใช้บนท้องถนนแล้ว รถยนต์พลังงาน ไฮโดรเจนเหลว ไม่ก่อมลพิษ รถยนต์พลังงาน ไฮโดรเจนเหลว ไม่ก่อให้เกิด มลพิษ ต่อสภาพแวดล้อม เพราะไฮโดรเจนเหลว ที่ใช้กับตัวรถได้มาจากแหล่งที่สะอาด

13. การเติมลมยางรถ ช่วยประหยัดน้ำมัน ในการบำรุงรักษา การเติมยางรถ ที่พอดีจะช่วยในการ ประหยัดน้ำมันได้ การเติมลมยางรถ ถ้าเติมอ่อนเกินไป จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5 ตามการหมุนรอบของวงล้อที่เพิ่มขึ้น การเติมลมยางรถ ช่วยยืดอายุยางรถยนต์ การเติมลมยางรถยนต์ ที่พอเหมาะพอดี ยังช่วยยืดอายุการใช้งาน ช่วยป้องกันไม่ให้ ยางรถยนต์ฉีกขาดได้ง่าย จากสาเหตุที่เติมลมอ่อนหรือแข็ง เกินไปอีกด้วย

ความรู้เล็กๆ จากทางเรา Q4CAR

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หลังฝนควรดูอะไรเป็นพิเศษกับรถของคุณ


เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ใช้รถมากขึ้น สำหรับขั้นตอนการตรวจและวิธีการตรวจมีอะไรบ้างนั้น และท่านสามารถตรวจสภาพรถของท่านด้วยตัวท่านเองได้ เริ่มกันที่ การตรวจสภาพรถทั่วไป 7 ประการ ดังต่อไปนี้

การตรวจสภาพรถทั่วไปประการแรก คือ การตรวจสภาพความอับชื้นภายในรถ ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน ถ้ามีความอับชื้นอยู่ภายในรถท่าน อย่างน้อยมันจะมีกลิ่นอับภายในรถ ทำให้มลภาวะในห้องโดยสารต้องเสียไป นอกจากนนี้เจ้าพรมปูพื้นจะผุเปื่อยเร็วกว่าปกติ และปัญหาใหญ่ประการสำคัญที่ตามมาก็คือ จะทำให้พื้นรถผุเป็นสนิมเร็วขึ้น

ความอับชื้นมันเข้าไปในรถของท่านได้อย่างไร น้ำเข้ารถของท่านได้หลายทางด้วยกันดังต่อไปนี้คือ

1. เข้าทางกระจก โดยท่านอาจลืมปิดกระจกหรือปิดกระจกไม่สนิทเมื่อฝนตกหนัก ข้อนี้รวมไปถึงรางกระจกชำรุดปิดไม่ได้ แบบนี้ฝนตกก็เปียกแน่ๆ
2. ท่อระบายน้ำของอุปกรณ์เครื่องทำความเย็นภายในรถ คือ ค่อน้ำจากคอยล์เย็นอุดตัน หรือไม่กระชับแน่น จึงทำให้น้ำไหลนองพื้นได้อีกกรณีหนึ่งเช่นกัน
3. พื้นรถผุกร่อนจนมีรอยทะลุ ในกรณีนี้มีปัญหาแน่นอน แค่วิ่งลุยฝนล้อก็จะรีดน้ำสาดเข้าใต้ท้องรถสาดซึมขึ้นมาเปียกพื้นรถเป็นแน่แท้
4. การขับลุยน้ำที่ท่วมสูง บางครั้งสูงกว่าพื้นรถเสียอีก น้ำจึงทะลักเข้ารถจนเปียกหมด

ทั้ง 4 ประการนี้แหล่ะครับเป็นที่มาของการทำให้พรมปูพื้นรถ ใช้มือลูบจับดูความเปียกชื้นของพรมปูพื้นรถ ตรงไหนเปียก ท่านจะทราบได้จากการสัมผัส สำหรับรถที่ไม่มีพรมก็ตรวจด้วยสายตาและการสัมผัสได้เช่นกัน

สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหาจากความเปียกชื้นดังที่กล่าวมาไม่ยากเลย ในวันที่อากาศแจ่มใสจอรถกลางแดดเปิดประตูให้กว้างทุกบานเพื่อให้แสงแดดและกระแสลมพัดผ่านไล่ความเปียกชื้นและกลิ่นอับไปให้หมด หรือถ้าพรมเปียกมาก เห็นทีจะแห้งในวันเดียวไม่ได้ ก็ให้หาเครื่องเป่าผมไฟฟ้า เอาลมร้อนไล่ความชื้นก็จะร่นเวลาการแห้งของพรมให้เร็ว

ประการที่ 2 การตรวจสภาพการทำงานของมอเตอร์สตาร์ต

การตรวจก็ไม่มีการยุ่งยากอะไรเลย แค่การบิดสวิตซ์ สตาร์ตติดเครื่องยนต์ธรรมดาๆ เพียงแต่ให้สังเกตการทำงานของไดสตาร์ต ถ้าหมุนอืดช้าๆ เสียงอี๊ดๆ ช้ามากก็ใช้ไม่ได้ หรือประเภทมีเสียงดังแซ๊ะๆ ก่อนไดสตาร์ตจะหมุนเร็วและฉุดให้เครื่องติดได้ลักษณะนี้แสดงว่าโรคจากน้ำได้ฟักตัวและอยู่ในระยะกำเริบแล้ว คือทำให้เกิดฉนวนตามหน้าสัมผัสของสะพานไฟในมอเตอร์สตาร์ต ทำให้กระแสไฟไหลผ่านได้น้อยหรือไหลผ่านไม่ได้เลน ถ้าบิดสวิตซ์แล้วไม่มีเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น

การแก้ไขกรณีนี้ก็ให้ถอดไดสตาร์ตออกมาขัดทำความสะอาด ขุดคอนแทรคของโซฮอยล์ชุดแปลงถ่านและซี่คอมมิวเกเตอร์ด้วยกระดาษทรายให้สะอาดและใส่กลับที่เดิมรับรองถ้าแบตเตอรี่ไฟดีมันจะทำงานได้เช่นปกติ ถ้าท่านเจ้าของรถที่พอจะทำเป็นก็บริการรถท่านเองได้เลย

ประการที่ 3 ของการตรวจรถทั่วไปหลังฤดูฝน คือ ตรวจลูกปืนคลัตซ์

โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งสตาร์ต โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งและสตาร์ตเครื่องอยู่แล้วก็ให้ตรวจสภาพของลูกปืนคลัตซ์ โดยเหยียบคลัตซ์แล้วปล่อย ทำหลายๆ ครั้งแล้วฟังเสียงผิดปกติ ถ้าขณะเหยียบมีเสียงกรี๊ดๆๆ เล็กๆ ถ้าตรวจพบเสียงนี้ต้องรีบนำเข้ารับบริการ ตรวจเปลี่ยนลูกปืนคลัตซ์ มิฉะนั้นจะทำให้หวีคลัตซ์ นิ้วคลัตซ์ หรือที่บางครั้งเรียกว่า "ตีนผี" สึกหรอเสียหายได้ อย่าทำการซ่อมเอง ให้รีบไปใช้บริการที่อู่ สะดวกสบายที่สุด

ประการที่ 4 คือ การตรวจสภาพของการใช้งานเบรกมือ

เพียงทดลองดึงเบรกมือว่าที่ดึงสูงมากผิดปกติหรือเปล่า ที่จริงแค่ 5 แก๊กก็พอ อันนี้เราสามารถปรับสายเบรกมือให้ตึงขึ้นก็จะแก้ปัญหานี้ได้ จากนั้นให้ตรวจสภาพการทำงาน คือหลังจากดึงเบรกมือแล้ว ทดลองออกรถในตำแหน่งเกียร์หนึ่ง ถ้ารถเคลื่อนตัวออกได้แสดงว่าเบรคมือใช้ไม่ได้ ต้องรีบนำเข้าไปแก้ไข เพราะเบรกช่วยให้ท่านสะดวกขณะขับในสภาพการจราจรติดขัดบนคอสะพาน ซึ่งจอดรถในถนนลาดชันและยังช่วยหยุดรถเมื่อเบรคแตกได้อีกด้วย อย่านิ่งนอนใจนะครับถ้าตรวจพบว่ามันใช้การไม่ได้ ให้นำรถเข้าศูนย์บริการเลย สิ่งนี้ก็มีผลมาจากการลุยน้ำในหน้าฝนได้เช่นกัน

ประการที่ 5 การตรวจการทำงานของคลัตซ์ ที่จะแนะนำนี้เป็นวิธีการหนึ่งของการตรวจสภาพการทงานของคลัตซ์ว่าปรกติหรือไม่

ประการแรก ตรวจคลัตซ์ลื่น วิธีการก็ไม่ยาก ดึงเบรกมือขึ้นให้สุด แล้วสตาร์ตเครื่องเข้าเกียร์ในตำแหน่งเกียร์สูงสุด ถ้าเป็นแบบ 5 เกียร์ ก็เข้า เกียร์ 5 ถ้า 4 เกียร์ ก็เข้าเกียร์ 4 แล้วออกรถในเกียร์ดังกล่าว โดยเร่งเครื่องปล่อยคลัตซ์เพื่อให้รถวิ่ง ถ้าผลปรากฎ ออกมาว่ารถไม่ขยับเขยื้อนแต่เครื่องยนต์ไม่ดับ ก็แสดงว่าคลัตซ์ลื่นครับ อีกประการหนึ่งให้ทดลองออกรถตามปกติ เช่น พบว่ารถจะสั่งเมื่อเริ่มออกรถทุกครั้ง หลังจากรถลุยน้ำหรือลุยฝนมา นี่ก็แสดงว่าคลัตซ์ลื่นเช่นกัน อย่างนี้จะต้องนำรถไปปรึกษาช่างแล้วหล่ะ

ประการที่ 6 คือ ตรวจเบรกว่าปัดเป๋กินซ้ายหรือกินขวา การตรวจเบรก

ท่านเองก็ทำได้สบายมาก เพียงหาที่ว่าง หรือถนนว่างเพื่อลองเบรก โดยถนนจะตัดได้ระดับลมยางและดอกยางถูกต้องใกล้เคียงกัน วิธีการตรวจให้ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 40 กม./ชม. ตั้งพวงมาลัยให้ตรงไปข้างหน้า มือไม่ต้องจับพวงมาลัย แล้วเหยียบเบรกทันทีทันใด ถ้ารถปัดเป๋ไปข้างใดข้างหนึ่งก็แสดงว่าระบบเบรกมีปัญหา อาจเกิดจากการติดตายเพราะน้ำเข้า หรือเกิดการรั่วซึมในระบบ กรณีนี้ต้องรีบนำรถเข้าเช็คที่ศูนย์บริการเบรดโดยด่วน อย่าลืมว่า "เบรก คือ ชีวิต"

ประการที่ 7 ซึ่งเป็นประการสุดท้ายของการตรวจสภาพรถทั่วไปของรถหลังฝน คือตรวจระยะฟรีพวงมาลัย

ซึ่งวิธีการตรวจนั้นง่ายมาก ให้ท่านจับพวงมาลัยแล้วออกแรงที่มือเบาๆ หมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายหรือขวาในตำแหน่งระยะฟรี ถ้ารัศมีของระยะฟรีมาก เช่น เป็นครึ่งรอบ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ผู้ขับบังคับรถยาก เพราะในบางคันหมุนพวงมาลัยไปครึ่งรอบหน้ารถจึงจะมีปฏิกริยาตอบสนองเกิดจะต้องเลี้ยวอย่างฉับพลันคงจะเลี้ยวไม่ทันผลที่ตามมาคือต้องเฉี่ยวชนกัน "อันตราย" ควรรีบนำรถไปให้อู่ซ่อมบริการ

ความรู้เล็กๆ ที่จากทางเรา Q4CAR

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พวงมาลัยดึง

การที่เราขับรถแล้วพบว่ามีอาการดึงไปข้างใดข้างหนึ่งทำให้ต้องคอยหักพวงมาลัยขืนเอาไว้ตัวปัญหา มีด้วยกันหลายจุด ต้องพิจารณากันให้ดี

เกิดเพราะยาง เกิน 50% ที่อาการดึงของรถมีสาเหตุมาจากยาง เช่น แรงดันลมอาจจะต่ำไป ก่อนจะไปพิจารณา ที่อื่นควรทดลองวัดแรงดันลมยางเป็นอย่างแรก หากมีปัญหาลมยางอ่อนก็จัดการเติมให้ได้ตามที่ผู้ผลิตกำหนด แต่ถ้าลมยางถูกต้อง หรือเติมไปเรียบร้อยแล้วแต่อาการดึงยังคงมีอยู่ หากยางที่ใช้เป็นยางใหม่และก่อนหน้าจะไปเปลี่ยนยาง ก็ไม่เคยมีอาการดึง แบบนี้มาก่อนแสดงว่าตัวปัญหาอยู่ที่ยางชุดใหม่ โดยอาจจะเกิดจากขั้นตอนการผลิตที่มีการวางเส้น เข็มขัดรัดหน้ายางไม่อยู่ใน ตำแหน่งที่ถูกต้อง อย่างที่เรียกว่า Off Center Belt เวลายางกลิ้งไปบนถนนจะทำให้เกิด แรงกระแทกทางด้านข้าง (Side Force) เอาชนะแรงที่ทำให้ยางกลิ้งในทางตรง (Roll Straight Ahead) การทดลองให้รู้คือสลับยางหน้าทั้ง 2 เส้น ถ้าอาการดึงเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม ชัวร์ว่ายางเป็นเหตุได้เลย หากไม่สามารถเปลี่ยนยางเส้นใหม่ ได้ก็ต้องลองสลับ เอายางจากล้อหลังมาใช้แทนอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการพวงมาลัยดึง เป็นเรื่องของการใช้ยางเก่า หรือยางกลางเก่ากลางใหม่ ยางที่มีการสึกของดอกยางมากน้อยต่างกัน แต่กลับนำมาใช้ร่วมกัน การใช้ยางผิดประเภท หรือการใช้ยางต่างขนาด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการดึงเช่นกัน

ช่วงล่างมีปัญหา หลังการทดลองสลับยางแล้วพบว่าอาการดึงของพวงมาลัยยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือมีการเปลี่ยนแปลง น้อยมากเคยดึงไปทางด้านไหนก็ยังคงดึงไปทางเดิม ไม่ยอมเปลี่ยนใจแสดงว่างานนี้ยางไม่เกี่ยวก็ต้องพิจารณาที่จุดอื่น เช่น อาจเกิดจากศูนย์ล้อไม่ถูกต้อง โดยแม้จะคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้รถเกิดอาการดึงไปด้านใดด้านหนึ่งได้ โอกาสที่ศูนย์ล้อจะเกิดการผิดเพี้ยนเปลี่ยนไปนั้นมีได้มาก อย่างเช่น ถ้ายางมีการสึกหรอมาก แต่ค่อนข้างสม่ำเสมอที่ขอบหน้ายางด้านใดด้านหนึ่ง จะมีผลทำให้มุมแค็มเบอร์ผิดไป และจะเกิดอาการดึงมากขึ้นยามขับบนถนนต่างระดับหรือพวกถนนหลังเต่า แต่หากขอบหน้ายางด้านใดด้านหนึ่งสึกเป็นจุด เป็นชั้น หรือสึกไม่เรียบ ปัญหาก็เหมือนกับว่าระบบ ช่วงล่างหลวมหรือตัวรองรับน้ำหนักทรุดทำให้มุมแค็มเบอร์เปลี่ยนไปเป็นจังหวะ ๆ ขณะที่รถวิ่งพวกคอยล์สปริงหรือแหนบ ที่นิ่มล้าหรือทรุดตัวแล้วจะเป็นสาเหตุสำคัญที่มีผลทำให้ชุดแค็มเบอร์เปลี่ยนแปลง รถที่ใช้ระบบรองรับน้ำหนักเป็นคอยล์สปริง เราสามารถทดสอบและตรวจเช็คว่ามันล้าหรือทรุดตัวหรือยังได้หลายทาง เช่น จากการสังเกตเวลาเลี้ยวโค้งเร็ว ๆ จะพบว่าตัวรถมีอาการเอียงตัวมากกว่าปกติหรือตรวจสอบความสูงของตัวรถเมื่อพบว่าความสูงทางด้านหน้ากับด้านหลังตลอดจนด้านซ้ายกับด้านขวามีความสูงแตกต่างกันเกินกว่า 13 มม. หรือ ½ นิ้ว ก็แสดงว่าสปริงล้าหรือทรุดตัวแล้วสำหรับรถที่ใช้ระบบ รองรับ น้ำหนักเป็นแหนบต้องตรวจสภาพแหนบว่ายังอยู่ดีหรือไม่แหนบหักหรือเปล่า พวกน็อตสาแหรกยึดตับแหนบมีรายการ หลุดหลวม คลายตัวหรือไม่ พวกหูแหนบหรือโตงเตงแหนบมีการชำรุดหรือไม่ พวกที่ใช้ระบบรองรับน้ำหนัก แบบทอร์ชั่นบาร์ เมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็มีอาการล้าและทรุดตัวได้เช่นเดียวกัน และบางทีด้านซ้ายกับด้านขวาจะทรุดไม่เท่ากัน จากการรับน้ำหนัก จะแตกต่างกัน หากนั่งคนเดียวบ่อย ๆ ด้านขวามักจะทรุดมากกว่า แต่ระบบรองรับน้ำหนักแบบทอร์ชั่นบาร์นี้ดีอยู่อย่าง คือ สามารถปรับตั้งระดับความสูงได้ จึงควรตรวจเช็คระดับความสูงของรถให้เท่ากัน

ลูกปืนและลูกหมาก เป็นอีกจุดที่สามารถสร้างปัญหาให้รถเกิดอาการดึงไปข้างใดข้างหนึ่งควรตรวจสภาพของลูกปืนล้อและลูกหมากหากทำเอง ไม่ได้ก็ควรนำรถไปหาช่างการตรวจสอบลูกหมากนี้สามารถทำต่อเนื่องจากการตรวจสอบลูกปืนล้อได้เลยยังมีอีกหลายจุดที่ทำให้เกิดปัญหาพวงมาลัยหันไม่ตรงกับทิศทางที่เราขับรถไป ต้องเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง อาทิ มุมแคสเตอร์มีปัญหาเนื่องจากมุมแคสเตอร์จะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการดึงของล้อหลังจากที่ได้หักเลี้ยวไปแล้ว หากมีปัญหาก็จะมีผลกับน้ำหนักของพวงมาลัย การตอบสนองของพวงมาลัย การเลี้ยว รวมทั้งยังมีผลกับการทรงตัวของรถยามเบรก และประสิทธิภาพในการหยุดรถอีกด้วย แต่ถ้าเหยียบเบรกเพื่อชะลอหรือหยุดรถแล้วพบว่าพวงมาลัย ถูกดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง แบบนี้แสดงว่าตัวการเกิดขึ้นจากระบบเบรกซึ่งก็ต้องพึ่งพาให้ช่างเขาจัดการให้เช่นกัน

ความรู้ที่ไม่ีควรประมาดจากเรา Q4CAR

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการซื้อรถยนต์ใหม่ เพื่อข้อเสนอที่ดีที่สุด


ทุกวันนี้หลายคนที่ซื้อรถยนต์ คงจะมีแนวคิดในการซื้อรถยนต์ ที่ต่างกันไป แน่นอนการซื้อรถยนต์ฟังดูเป็นเรื่องที่ง่ายไม่ยากอะไรนัก แต่การซื้อรถยนต์ให้ได้ ข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเช่นกัน บางทีอาจจะเรียกว่าต้องทำใจ แต่เรามีคำแนะนำ ที่ทำให้คุณได้ข้อเสนอยานยนต์ที่ดีที่สุด

แม้ในทางปฏิบัติจะยากในการหักห้ามใจไม่ให้ปล่อยไปตามอารมณ์ สำหรับการซื้อรถยนต์ใหม่สักคันหนึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับในแง่หนึ่งว่า การที่เราซื้อรถยนต์อย่างมีหลักการจะทำให้ได้ ข้อเสนอที่ดีที่สุดในการซื้อรถยนต์ และเพียง 5 ข้อจากเรา การซื้อรถยนต์ที่ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดกว่าคนอื่นๆอย่างไม่ต้องสงสัย

1. ซื้อรถเดือนธันวาคม ทำไม?? ต้องเดือนนี้ คำตอบง่ายๆ คือ มันเป็นเดือนที่คนเราขี้เกียจที่สุด มีวันหยุดเยอะที่สุด และทุกคนอยากได้โบนัสก้อนโตกลับบ้านในช่วงปีใหม่ ช่วงเวลานี้คือห้วงเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อรถ ส่วนหนึ่งเรามีโปรโมชั่นที่ดีจากงานมหกรรมยานยนต์ส่งท้ายปีที่ไม่ต่างอะไร จากงาน เทกระจาดดีๆ และยอดขายรถยนต์ส่งท้ายปีก็คือของขวัญที่ดีที่สุดในช่วงเวลาของความสุข ของบรรดาผู้ผลิต

2. อย่าเชื่อใบจอง .. ใบจองคือ ใบรวมข้อตกลงที่ทำให้คุณรู้ว่าคุณได้ข้อเสนออะไรบ้าง ที่จริงแล้ว ข้อเสนอที่ดีไม่ได้อยู่ที่จำนวนของแถมที่เยอะ แต่อยู่ที่ สิ่งที่เราได้มีมูลค่ามากที่สุด บ่อยครั้งที่เราตกเป็นเหยื่อเซลล์กับเพียงแค่ดูว่าเหมือนจะมีเยอะน่าจะดีที่ สุด ทั้งๆที่ ความเป็นจริง สิ่งที่เซลล์เขียน อาจจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วกับรถมาจากโรงงาน คุณลองศึกษาดูและเปรียบเทียบดูว่าอะไรกันแน่ คือ ข้อเสนอที่แท้จริง จงระวังข้อนี้ให้ดี

3. รถไม่ฮิต-เกือบตกรุ่น ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า บางครั้งข้อเสนอที่ดีอาจจะเป็นดาบสองคมแต่คุณต้องคิดให้ถี่ถ้วนและทางหนึ่ง ที่คุณจะได้ข้อเสนอที่ดีคือมองรถยนต์ที่ไม่ใช่รถเจ้าตลาดมากนัก ส่วนหนึ่งนั่นคือทุกคนอยากขายของ ถ้าสังเกตให้ดี รถยนต์เจ้าตลาดมักไม่แคร์ลูกค้า เพราะพวกเขาทราบดีอยู่แล้วว่า ยังไงเสียพวกเขาก็ขายของได้อย่างไม่ต้องสงสัย บางเจ้าไม่แม้แต่จะแถมประกันภัย แต่ค่ายมวยรองพวกเขาก็ต้องการพื้นที่หายใจ จึงมักมีข้อเสนอที่ดีกว่า เช่นเดียวกัน ถ้าคุณต้องซื้อรถยนต์เพื่อใช้งานจริงๆ ไม่ได้แคร์เรื่องเก่าใหม่มากมายนัก ลองมองรถยนต์ที่เริ่มหรือใกล้จะตกรุ่นก็จะเป็นทางออกที่ดี เพราะเมื่อใกล้เปลี่ยนรุ่น พวกค่ายรถยนต์มักจะพยายามระบายของเก่าออกให้หมด เพื่อให้มีของค้างสต๊อกน้อยที่สุด

4. ใจแข็งมากที่สุด หน้าที่เซลล์ คือพวกเขาต้องพยายามมากที่สุดในการที่จะปิดข้อเสนอให้คุณรับคำตกลงของพวกเขา สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือ อย่าใจง่าย ทำใจแข็งเข้าไว้ การเชียร์ขอเซลล์เพื่อพยายามทำให้คุณตัดสินใจ เพราะ เมื่อคุณจองรถไปแล้ว ก็ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้อีก ที่จริงพยายามใช้เวลาลองเดินดูข้อเสนอหลายๆโชว์รูมก่อน ก็จะช่วยในการตัดสินใจมากขึ้น

5. ถ้าเป็นไปได้อย่าตกลงในครั้งแรก การ จบดีลในครั้งแรกนั้น มันไม่ต่างอะไรจากการเป็นหมูในอวย เพราะคุณทำให้พวกเขาทำงานง่าย เซลล์ปัจจุบัน มักชอบใช้คำพูดว่า "เดี๋ยวผม/ดิฉัน ถามผู้จัดการก่อนแต่ถ้าได้พี่ต้องตกลงนะ ถ้าโอเค" บอกได้เลยว่ามุขนี้ 100 ทั้ง100 หลงกลมาแล้วแทบทั้งสิ้น ที่จริง เซลล์ทุกคนรู้ค่าการตลาดหรือ Marketing Margin ของตัวเองดีอยู่แล้ว ซึ่งการพูดอย่างตัวอย่างที่เราบอกก็เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจอย่างรวดเร็วมาก ขึ้นเท่านั้น ดังนั้น อย่างหลงกลโดยเด็ดขาด ที่สำคัญ ทำไมจะต้องคิดว่าครั้งแรกนี่แหละดีที่สุด ทั้งที่ยังมีอีกหลายโชว์รูมที่ยังไม่ได้ย่างกราย

จากทั้ง 5 ข้อที่เราได้กล่าวมา จะเห็นได้ว่า กฏเหล็กในการซื้อรถยนต์นั้น อยู่ที่ตัวของเราเอง ซึ่งเราต้องแข็งใจไว้ให้มากที่สุด แม้จะอยากได้รถมากก็ตามที เพรา ข้อเสนอที่ดีที่สุดอยู่ที่การพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน และเมื่อนั้น คุณจะเป็นผู้ที่ได้ข้อเสนอรถยนต์ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

เป็นความรู้เล็ก ๆ ที่นำมาฝากจากทางเรา Q4CAR

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มาดูแลรถ...ลดโลกร้อนกันเถอะ

ตอนนี้กระแส "ภาวะโลกร้อน" กำลังมาแรงทีเดียว เห็นได้จากหลากหลายสาเหตุที่ล้วนเกิดจากฝีมือของมนุษย์อย่างเราๆทั้งสิ้น จนมีการเรียกร้องให้มาช่วยกันลดปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ

ตั้งแต่ง่ายๆอย่างการใช้ถุงผ้าไปซื้อของแทนใช้ถุงพลาสติก จนกระทั่งการรณรงค์ให้ช่วยกันใช้พลังงานอย่างถูกวิธีและประหยัด แต่สำหรับประเทศไทยแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควรเนื่องจากวิถีการดำเนินชีวิตของเรา โดยเฉพาะในกรุงเทพด้วยแล้วถือว่าเป็นเมืองที่ปล่อยก๊าซพิษสูงทีเดียว ก๊าซที่ว่านี้ก็คือก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ จากรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถบรรทุก ฯลฯ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาอากาศเป็นพิษและเสียงรบกวนได้ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพอนามัย ซึ่งคนที่อาศัยอยู่ต้องสูดหายใจเข้าไปทุกวันอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเราควรมาทำความรู้จักกับสิ่งที่ออกมาจากท่อไอเสีย และวิธีที่จะช่วยลดมลพิษจากรถของท่านกันดีกว่า

การทำงานของเครื่องยนต์นั้น หากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ จะทำให้เกิดสารพิษปล่อยออกมาจากท่อไอเสียอันเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอากาศเป็นพิษ สารพิษเหล่านี้ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ควันดำไฮโดรคาร์บอนออกไซด์ของไนโตรเจน สารตะกั่ว ฯลฯ

1. ควันดำเป็นผงเขม่าขนาดเล็กที่เหลือจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากรถยนต์ดีเซล เช่น รถปิกอัพดีเซล รถเมล์โดยสาร และรถขนาดใหญ่ทั่ว ๆ ไป

สาเหตุการเกิดควันดำ

- ระบบจ่ายน้ำมันไม่เหมาะสม ทำให้สัดส่วนน้ำมันและอากาศไม่เหมาะสม เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
- ไส้กรองอากาศสกปรกและอุดตัน
- เครื่องยนต์เก่าชำรุดขาดการบำรุงรักษา
- บรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กำหนด

อันตรายจากควันดำ

ควันดำเป็นผลเขม่าเล็กที่สามารถเข้าไปสะสมที่ถุงลมในปอด และควันดำยังประกอบด้วยสารที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งในปอด นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความสกปรก และบดบังการมองเห็นก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางจราจรได้ง่าย

2. ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ซึ่งเป็นก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์ในเครื่องยนต์รถ เช่น รถยนต์ส่วนบุคคล รถแท็กซี่ รถสามล้อเครื่อง รถจักรยานยนต์ ฯลฯ ก๊าซนี้จะเกิดขึ้นมากในขณะที่รถยนต์เดินเครื่องอยู่กับที่ เนื่องจากการจราจรติดขัด

สาเหตุการเกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์

- มีการปรับแต่งเครื่องยนต์เกี่ยวกับระบบจ่ายไฟ และจ่ายน้ำมันที่ไม่เหมาะสม
- ไส้กรองอากาศอุดตัน
- ใช้น้ำมันผิดประเภท เช่น ใช้น้ำมันธรรมดากับเครื่องยนต์ที่กำหนด ให้ใช้น้ำมันเบนซินพิเศษ
- บรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กำหนด
- ลักษณะการขับขี่ที่มีการเร่งเครื่องยนต์โดยไม่จำเป็น

อันตรายจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์

เมื่อหายใจเข้าไปก๊าซนี้จะทำปฏิกิริยากับ ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง กลายเป็นคาร์บ๊อกซี่ฮีโมโกลบิน ทำให้การลำเลียงอ๊อกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ ถ้ามีก๊าซนี้ในอากาศที่เราหายใจเพียง 60 ส่วนในล้านส่วน จะทำให้เกิดอาการ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หมดสติ ในกรณีที่มีก๊าซนี้เกิน 5,000 ส่วนในล้านส่วนของอากาศที่เราหายใจจะทำให้เกิดอันตรายถึงตายได้

การป้องกันและลดสารพิษจากรถยนต์

การที่จะป้องกันไม่ให้รถยนต์ของท่านปล่อยสารพิษสู่สิ่งแวดล้อม ผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ขับขี่รถจะต้องหมั่นบำรุงรักษาสภาพของเครื่องยนต์ มีการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ รวมถึงลักษณะการขับขี่ ซึ่งมีข้อแนะนำดังนี้

- ใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วสำหรับรถเครื่องยนต์เบนซิน หรือน้ำมันดีเซลกลั่นอุณหภูมิต่ำสำหรับรถเครื่องยนต์ดีเซล
- เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามกำหนดเวลา
- หมั่นตรวจดูระบบกรองอากาศ ถ้าอุดตันมีฝุ่นจับมากให้ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนใหม่
- หลีกเลี่ยงการบรรทุกเกินอัตรากำลังรถ
- ควรออกรถให้นิ่มนวลและไม่เร่งเครื่องเกินความจำเป็น
- ติดตั้งอุปกรณ์กรองไอเสีย (Catalytic Converter) เพื่อช่วยให้ไอเสียที่ปล่อยออกมามีมลพิษน้อยลงได้

สำหรับรถที่ใช้น้ำมันดีเซลควรตรวจสอบเครื่องยนต์เป็นพิเศษ ดังนี้

- ตรวจสอบกำลังอัดของเครื่องยนต์ ถ้าต่ำกว่าปกติจะต้องซ่อมโดยเปลี่ยนแหวนลูกสูบ หรือคว้านกระบอกสูบ
- ปรับแรงดันที่หัวฉีดให้ตรงตามกำหนดและหัวฉีดต้องฉีดน้ำมันเป็นละออง ถ้าหัวฉีดปรับแรงดันไม่ได้หรือฉีดน้ำมันไม่เป็นละออง ให้เปลี่ยนชุดหัวฉีดใหม่
- ตั้งปั๊มหัวฉีดที่มีความเร็วรอบต่าง ๆ ให้จ่ายน้ำมันตามกำหนด ถ้าหากว่าปรับตั้งไม่ได้เนื่องจากลูกปั๊มสึกหรอมากให้เปลี่ยนลูกปั๊มแต่ละชุดใหม่
สำหรับรถที่ใช้น้ำมันเบนซินควรตรวจสอบเครื่องยนต์เป็นพิเศษ ดังนี้

- ปรับคาร์บูเรเตอร์ โดยปกติจะปรับสกรูเดินเบาเพิ่มขึ้น แต่สำหรับรถที่ใช้ระบบหัวฉีดน้ำมันอัตโนมัติจะต้องปรับแต่งโดยช่างผู้ชำนาญงานเท่านั้น
- ตรวจสอบกำลังอัดของเครื่องยนต์และระบบไฟ จุดระเบิดอาจแก่เกินไป ควรลดลงให้เหมาะสม

ช่วยกันดูแลโลกกันดีกว่า จาก Q4CAR

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รอบรู้เรื่อง...น้ำมันครื่อง



น้ำมันเครื่องมีความสำคัญต่อความทนทานและกำลังของเครื่องยนต์ จำเป็นต้องมีการเลือกและใช้อย่างมีหลักการ แต่หลายคนยังมีความเข้าใจผิดในการเลือกซื้อน้ำมันเครื่องอยู่หลายคนซื้อน้ำมันเครื่องโดยเน้นเลือกยี่ห้อเดียวกับที่มีปั๊มน้ำมันเพราะคิดว่าจะมีคุณภาพดีตามความโด่งดังของยี่ห้อ
ความจริงแล้วมีน้ำมันเครื่องคุณภาพดีอีกนับสิบยี่ห้อ ที่ไม่มีปั๊ม น้ำมันในไทย และจำหน่ายในราคาไม่แพง ไม่ควรเห็นแค่ยี่ห้อแล้วเลือกใช้ ต้องดูที่เกรดคุณภาพตามมาตรฐานของ API (www.api.org)ในสหรัฐอเมริกาที่ระบุไว้ข้างกระป๋องจำไม่ยากเลย

1. เครื่องยนต์เบนซิน เกรดคุณภาพสูงสุด API SL รองลงมาคือ SJ SH SG ตามลำดับ ปัจจุบันนี้ API SL และ SJ น่าใช้ที่สุด

2. เครื่องยนต์ดีเซล เกรดคุณภาพสูงสุด API CI-4 รองลงมาคือ CH-4 CG CF ตามลำดับ ปัจจุบันนี้ API CI-4 และ CH-4 น่าใช้ที่สุด

น้ำมันเครื่องยิ่งมีเกรดคุณภาพต่ำ ก็ยิ่งมีราคาถูก และลดการปกป้องเครื่องยนต์ลงไป ควรเลือกเกรดคุณภาพอย่างน้อยรองจากสูงสุดนอกจากนั้นยังต้องดูความหนืดตามมาตรฐานของ SAE (www. sae.org) สหรัฐอเมริกา ว่าเลข 2 ตัวท้าย เช่น 30 40 หรือ 50 ตรงตามการแนะนำในคู่มือประจำรถหรือไม่ โดยไม่ต้องสนใจตัวเลขหน้า W เพราะนั่นเป็นค่าที่ได้การวัดความหนืดที่18 องศาเซลเซียสไม่ใช่สภาพของไทยชนิดของน้ำมันเครื่องก็ต้องสนใจ ธรรมดา กึ่งสังเคราะห์ และสังเคราะห์ ดีจากน้อยมามากตามลำดับ เลือกยี่ห้ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องเลือกเกรดคุณภาพ ระดับความหนืด และชนิด ให้ครบครัน

การเปลี่ยนน้ำมันครื่องควรพิจารณาจาก

ข้างกระป๋องน้ำมันเครื่องหลายยี่ห้อหลายรุ่น นอกจากจะระบุรายละเอียดอื่นๆ ข้างต้นไว้ครบครันแล้ว ก็อาจจะมีประโยคบอกเพิ่มว่า เหมาะสำหรับเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล หรือเหมาะทั้ง 2 อย่างเลย หลายคนเห็นประโยคนั้นก็เลือกใช้ โดยไม่ได้สนใจดูว่ามีเกรดคุณภาพตาม API เป็นอย่างไร จริงๆ แล้ว ไม่ต้องระบุเพิ่มก็ได้ เพราะเกรดคุณภาพตามท้ายตัวย่อ API ก็มีระบุไว้อยู่แล้วว่าใช้กับเครื่องยนต์ประเภทใดได้ดีเพียงไร และบางครั้งระบุว่าเหมาะสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน แต่มีมาตรฐานแค่ API SH ห่างจากมาตรฐานสูงสุดตั้ง 2 ระดับก็ยังมี
หมดสภาพเพราะดำ หรือนิ้วแตะน้ำมันเครื่องที่ดำ อาจเป็นเพราะมีสารชะล้างที่ดี หรือภายในเครื่องยนต์สกปรก และเมื่อดำแล้ว คุณสมบัติอื่นๆ เช่น การหล่อลื่น การลดความร้อน รวมถึงการชะล้างเอง อาจไม่ได้หมดลงตามสีที่เปลี่ยนไป บางคนใช้นิ้วแตะๆ น้ำมันเครื่องจากก้านวัด แล้วตัดสินว่าหมดอายุ หรือยัง ในความเป็นจริง หากจะทราบว่าน้ำมันเครื่องหมดอายุหรือยัง จะต้องนำน้ำมันเครื่องนั้นเข้าห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ ไม่งั้นก็ต้องตัดสินจากระยะทางหรืออายุที่ใช้งานตามที่ปฏิบัติกัน จะเดาจากสีหรือความเหนียวหลังจากแตะกับปลายนิ้วไม่ได้

ต้องเต็มขีดบนเสมอ หลายคนเน้นว่าเครื่องยนต์ต้องมีน้ำมันเครื่องเต็มขีดบนเสมอ ในความเป็นจริง เครื่องยนต์จะสามารถทำงานได้ปกติ หากระดับน้ำมันเครื่อง อยู่ในช่วงขีดบนและล่าง ไม่จำเป็นต้องเต็มขีดบนเท่านั้น ถ้าเติมครั้งใหม่ เติมให้เต็มขีดบนก็ดี แต่ถ้าผ่านการใช้งานมาแล้ว อีกไม่นานจะครบกำหนดเปลี่ยน และน้ำมันพร่องลงไปบ้าง หากยังไม่ต่ำกว่าขีดล่างสุด ก็ไม่จำเป็นต้องเติมเพิ่มให้สิ้นเปลือง ยกเว้นกรณีขึ้นลงทางลาดชันมากบ่อยๆ น้ำมันเครื่องควรเต็มขีดบนอยู่เสมอ เพราะผิวน้ำมันจะเอียงไม่ได้ระดับขนานกับขอบอ่างน้ำมันเครื่องอยู่เสมอ
เปลี่ยนบ่อยไว้ก่อนน้ำมันเครื่องยุคใหม่มีคุณภาพและความทนทานขึ้น แต่หลายคนยังเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามกำหนดดั้งเดิม 3,000-5,000 กิโลเมตร ด้วยแนวคิดปลอดภัยไว้ก่อน ห่วงเครื่องยนต์ แต่เปลืองเงินไม่สน สบายใจเข้าว่าในความเป็นจริง น้ำมันเครื่องทุกชนิด ไม่เฉพาะแต่สังเคราะห์ ถ้าเป็นเกรดคุณภาพตาม API 2-3 ระดับสูงๆ สามารถใช้งานได้เป็นระยะทาง 10,000 กิโลเมตร หรือถ้าการจราจรติดขัดมาก รวมถึงมีฝุ่นในเส้นทางเยอะ ก็ค่อยลดระยะทางลงมาจากเดิมสัก 1,000-2,000 กิโลเมตร การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเร็วเกินไป นอกจากสิ้นเปลืองเงินแล้วยังเป็น การเพิ่มขยะพิษให้กับโลกอีกด้วย แม้จะมีการนำน้ำมันเครื่องเก่าไปรีไซเคิล กับงานอื่น แต่สำหรับในไทย ต้องถือว่าการป้องกันน้ำมันเครื่องเก่าไม่ให้กระจายสู่ธรรมชาติเป็นไปอย่างไม่รัดกุมเลย

ความรู้เล็ก ๆ จาก Q4CAR

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หยุดแล้ว...ไม่เจ็บตัว



ขนาดเดินไปเดินมาเฉยๆ ยังชนกันปากแตกได้ นับประสาอะไรกับรถที่แรดไปทั่ว โอกาสกระทบกันย่อมมีอยู่สูง อย่าว่าแต่ขับรถเลยแม้กระทั่งจอดรถแวะกินข้าวต้มอยู่ข้างทาง พวกยังเซเข้ามาเสยจะเละไปทั้งแถบ

เรื่องของอุบัติเหตุแม้จะเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ให้เกิดขึ้นมิได้ แต่เราสามารทำให้โอกาสเกิดเรื่องมีน้อยลง หรือลดอาการบาดเจ็บยามเป็นเรื่องให้เบาบางลงได้ สิ่งที่ควรจะสนใจเรียนรู้และฝึกฝนนั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องของการหยุดรถ ว่าควรกระทำประการใดรถจึงจะสามารถหยุดได้อย่างที่เราต้องการ ซึ่งวิธีหยุดรถให้ดีนั่นไม่ได้หมายความว่าจะพึ่งพาเฉพาะประสิทธิภาพเบรกของรถกันเพียงอย่างเดียว ยอมรับว่ารถสมัยนี้มีอุปกรณ์ไฮเทค ที่สามารถช่วยคนขับได้เยอะ ในเรื่องของการหยุดรถให้ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ABS ป้องกันการล็อคของล้อ ระบบ BA ช่วยเพิ่มพลังในการเบรคแบบรวดเร็วกะทันหัน หรือระบบ EBD ที่รู้ดีว่าจะต้องใช้แรงดันเบรกแต่ละล้อกี่มากน้อย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับเท้าที่เหยียบเบรกลงไปด้วย

เบรกแบบอัตโนมัติ

การขับรถที่ดีนั้นต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา ถ้าเผอเรอเมื่อไหร่มักจะเป็นเรื่อง (เกือบทุกที) แต่ในความเป็นจริงนั้นคงไม่สามารถตั้งสมาธิได้ตลอดเวลา บางคนก็ขับรถไปคิดไป เรื่องงาน ครอบครัว หรืออะไรต่อมิอะไร บางคนก็มัวแต่พูดโทรศัพท์ และมีอีกเยอะที่มักสนใจวิว “สายเดี่ยว” ข้างทางมากกว่าเส้นทาง ก็เลยเกิดเป็น “ทีเผลอ” ขึ้นมา

ด้วยเหตุที่เราไม่สามารถมีสมาธิในการขับรถได้ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยเราก็ต้องป้องกันและแก้ไข โดยการกระทำให้เป็นสัญชาตญาณในการแก้ไขเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นการหักหลบหรือเบรกก็ตาม ซึ่งหากทำได้โดยสมองไม่ต้องสั่ง จะทำได้ดีและรวดเร็วกว่าผ่านการสั่งของสมองซะอีก ซึ่งลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คิดแล้วทำได้ ต้องมีประสบการณ์และผ่านการฝึกหัดทดลอง ซึ่งเล่นไม่ยากนัก โดยการหาเส้นทางที่ปลอดภัยไม่มีรถ อาจจะเป็นถนนในหมู่บ้านจัดสรรที่รกร้าง ตรอก หรือซอยลึกที่ไม่ค่อยมีใครผ่าน ให้ขับรถด้วยความเร็วแค่ 50-60 กม./ชม. ก็พอ เพราอุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเกิดที่ความเร็วประมาณนี้ แล้วหัดเบรกโดยการยกเท้าจากคันเร่งมาเหยียบเบรกให้เร็วและให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฟังเหมือนไม่ยากแต่ความจริงมันก็ไม่ง่ายนักต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเบรกได้รวดเร็ว ดั่งใจต้องการ

เหยียบลงไปอย่ากลัวเบรกเจ็บ

เชื่อหรือไม่ว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยกล้าลงเบรกกันแรงเท่าที่ควร ด้วยเหตุนี้เค้าจึงต้องคิดค้นเจ้าระบบ BA หรือ Brake Assist System ขึ้นมาให้ช่วยใช้งานกัน เนื่องจากโดยมากมักจะใช้เบรกกันเบาเกินไป โดยเฉพาะสมัยแรกที่ระบบเบรก ABS เริ่มมีใช้กัน คนขายรถมักจะโฆษณาว่าช่วยให้รถหยุดได้ดีกว่ารถที่ไม่มีระบบเบรก ABS ใช้ ซึ่งก็จริงเหมือนกัน แต่มันหมายถึงการเบรกบนทางเปียกลื่นต่างหาก ถ้าเป็นการเบรกบนถนนแห้งแล้ว รถที่มีระบบเบรก ABS นั้นจะใช้ระยะเวลาในการเบรกยาวกว่ารถที่ไม่มีระบบเบรก ABS ใช้ เนื่องจากการเบรคของ ABS จะไม่จับจานเบรกแน่นตลอดเวลา แต่จะจับและคลายตัวปล่อยจานเบรกเป็นจังหวะ เพื่อให้ล้อยังหมุนไปจับกับพื้นถนนลดการล็อคของล้อ จึงช่วยให้มีการทรงตัวที่ดีขณะเบรก และสามารถควบคุมทิศทางได้ ด้วยเหตุนี้พวกรถที่มีABS จึงไม่ได้หมายความว่าการเบรคบนทางแห่งจะได้ระยะเบรคสั้นกว่าพวกรถที่ใช้ระบบเบรกแบบธรรมดา

ดังนั้น ในบทเรียนการขับรถปลอดภัยของบริษัทรถทุกแห่งหรือในหลักสูตรการขับปลอดภัย จะมีบทเรียนการเบรกของรถที่ใช้ระบบเบรก ABS ด้วย โดยการสอนให้เบรกอย่างรวดเร็วและรุนแรง การเบรกบนทางที่มีผิวถนนต่างกัน ระหว่างล้อซ้ายกับล้อขวา เช่น ล้อด้านซ้ายอยู่บนทางเปียกหรือลื่น แต่ล้อฝั่งขวาอยู่บนทางปกติ และการเบรกบนทางลื่น รวมถึงการหักหลบ พร้อมกับการเบรก เพื่อให้คนขับได้สัมผัสกับการลงเบรกกันอย่างหนักหน่วงกว่าที่คิด และให้รับทราบถึงผลการเบรกว่าเป็นประการใด จะได้รู้วิธีและพร้อมที่จะใช้งาน

สำหรับรถรุ่นเก่าที่ยังไม่มีระบบเบรค ABS ใช้ จะมีปัญหาอยู่บ้างเรื่องการสึกของยางหากมีการใช้เบรกอย่างหนักหน่วงจนกระทั่งล้อล็อค แต่ก็ยังอยากให้สัมผัสกัน หากเล่นกันไม่กี่ครั้ง ยางคงไม่สึกหรอจนเสียรูป โดยการหาทางที่กว้างขวางและโล่งพอ หากเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่เป็นอันตราย ต่อจากนั่นให้ลองเบรกกันที่ความเร็ว 60 กม./ชม.โดยการเหยียบเบรกให้เร็วและแรงที่สุด จนกระทั่งล้อเกิดการล็อคเริ่มมีอาการลื่นไถล ให้รีบถอนเท้าออกจากเบรกแล้วกดซ้ำ ส่วนพวกรถที่เป็นเกียร์ธรรมดา ให้หัดเหยียบเบรกนิ่งแล้วจึงค่อยเหยียบคลัทซ์ เพื่อจะได้ใช้เอนจิ้นเบรกมาช่วยการหน่วงความเร็วของรถ และด้วยความเร็วระดับนี้หากใช้รถเกียร์ธรรมดา ลองเบรกที่เกียร์ 3 เกียร์ 4 กับเกียร์ 5 (รถ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ) จะพบว่าระยะเบรกในเกียร์ 3 จะสั้นกว่า เกียร์ 4 และเกียร์ 5 ตามลำดับ เพราะในจังหวะเกียร์ 3 จะมีเอนจิ้นเบรกมากกว่าและที่เกียร์ 4 ก็มีเอนจิ้นเบรกมากกว่าเกียร์ 5 ซึ่งจะได้นำการเชนจ์เกียร์ไปช่วยในการใช้งานจริงเพื่อให้ได้ระยะเบรกสั้นลง

รู้จักหน้ารู้จักใจ

ควรจะพยายามทำความเข้าใจลักษณะการทำงานของเบรกให้ดี รถแต่ละรุ่นแต่ละแบบจะมีการทำงานของเบรกแตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างพวกรถรุ่นเก่าที่ยังไม่มี ABS ใช้ หรือพวกที่ใช้ระบบเบรคแบบหน้าดิสค์หลังดรัม จะพบว่าเมื่อเหยียบเบรกแล้วในจังหวะแรกตัวรถยังไม่ลดความเร็วลง ต้องเหยียบเบรกให้ลึกลงไปอีกนิด คราวนี้ผ้าเบรกถึงจะจับตัวชะลอความเร็วของรถลงมา และเมื่อเหยียบเบรกให้ลึกลงไปอีก การทำงานของเบรกจะเพิ่มเป็นทวีคูณ ในรูปแบบนี้เปอร์เซ็นต์ล้อล็อคมีอยู่สูง ต้องระมัดระวังเรื่องรถลื่นไถลเสียการทรงตัวให้ดี โดยเฉพาะยามเบรกแบบกะทันหัน หรือเบรกอยู่บนทางเปียกลื่น

ในอีกลักษณะหนึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกรถรุ่นใหม่ที่มีระบบ ABS ใช้แล้ว และมักจะเป็นพวกรถที่ใช้ระบบดิสค์เบรกทั้ง 4 ล้อ การเหยียบเบรกจะเริ่มมีประสิทธิภาพสูง ตั้งแต่ต้นเลย พอแตะเบรกลงไปก็รู้สึกได้เลยว่าเบรกเริ่มทำงานแล้ว ในลักษณะเช่นนี้การเบรกเพื่อชะลอความเร็วของรถจะทำได้ดี ทำให้เกิดความรู้สึกว่าถ้าเราเพิ่มกำลังในการเหยียบเบรกอีกหน่อยรถต้องหยุดแน่นอน อันเป็นการเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่สัมผัสได้จากประสิทธิภาพในการทำงานของเบรก จนกระทั่งเกิดมีเหตุด่วนเหตุร้ายทำให้ต้องใช้เบรคเพื่อหยุดรถขึ้นมา ปรากฏว่าเมื่อใช้แรงในการเหยียบเบรกตามที่คิดเอาไว้ กลับไม่สามารถ หยุดรถได้ตามต้องการ เพราะลักษณะการทำงานของเบรกแบบนี้ ช่วงเหยียบ เบรกเพื่อชะลอรถมักจะทำตัวดี แต่ถ้าจะเบรกเพื่อหยุดค่อนข้างลำบาก ต้องใช้แรงกดคันเหยียบเบรกมากกว่าที่คิดเยอะเลย ซึ่งกว่าจะรู้มักจะ “ตูม” ซะก่อน

ทำตัวพร้อมที่จะหยุดทุกเวลา

เราสามารถแบ่งลักษณะการขับรถได้ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การขับขี่ในเมือง และการเดินทางท่องเที่ยวออกต่างจังหวัด ซึ่งในการขับรถอยู่ในเมืองนั้น จะว่าไปโอกาสรถสะกิดกันมีมากกว่าตอนเดินทางซะอีก เพียงแต่ว่ามันไม่รุนแรงเท่านั้นเอง ตัวก่อเรื่องหลักก็มีพวกรถแท็กซี่ที่พร้อมจะแว่บเข้ารับผู้โดยสาร โดยไม่สนใจว่าจะต้องตัดเลนจากขวาสุดมาซ้ายสุด รถมอเตอร์ไซด์ที่พร้อมจะแซงซ้ายเมื่อเราเปิดไฟเลี้ยวซ้าย และชอบแซงขวา อีตอนเราเปิดไฟเลี้ยวขวา รถเมล์ใหญ่ รถเมล์เล็ก กับรถตู้โดยสาร ที่พร้อมจะออกจากป้ายทันทีที่ต้องการ โดยไม่สนใจรถที่อยู่เลนขวา โปรดหลบเอาเองถ้าไม่อยากโดนโซ้ย

จุดอันตรายที่ควรระมัดระวังให้มาก จะมีอยู่ 2 อย่างประการแรกเป็นช่วงขึ้นสะพานหรือเนินที่ไม่เห็นฝั่งตรงข้าม เส้นทางโล่งกดกันได้สบาย แต่ที่ไหนได้พอพ้นเนินขึ้นมาก็เจอรถจอดติดเป็นทิวแถว ทำให้ต้องตาลีหรือตาเหลือก กดเบรกกันแต่มักจะไม่ทันซะแล้ว หรือหากเราเบรกทันก็มักจะโดนรถที่ตามหลังมาอัดเอา ดังนั้นถ้าเจอสะพานหรือเนินที่ไม่เห็นสภาพฝั่งตรงข้ามควรจะชะลอความเร็วลงนิด โดยการเหยียบเบรกเบาๆ แช่เอาไว้ เพื่อให้รถที่ตามหลังเห็นไฟเบรกจะได้ลดความเร็วลงมั่ง รวมทั้งมองเลนข้างๆ ว่าว่างหรือเปล่าเผื่อต้องใช้พื้นที่ในการหักหลบ พยายามประพฤติให้เป็นนิสัย จนกระทั่งทำได้เป็นอัตโนมัติทุกครั้งโดยไม่ต้องสั่ง

ช่วงการลงสะพานและลงเนินเป็นจุดอันตรายอีกแห่งหนึ่ง ด้วยแรงรถผสมกับแรงดึงดูดของโลกทำกินแรงเบรกมากกว่าปกติ เวลาเป็นเรื่องมักจะเบรกไม่ค่อยทัน ต้องระมัดระวังให้ดี และหากมีเรื่องให้ใช้เบรคต้องเผื่อโดยการเบรกให้หนักกว่าธรรมดา
การขับรถยามท่องเที่ยวเดินทาง นอกจากภัยที่เกิดขี้นจากตัวเอง เช่น “เมาแล้วขับ” หรือ “ง่วงแล้วขับ” ก็ยังมีปัญหาในด้านการขับขี่ยิ่งเดินทางยาวใช้เวลาเยอะโอกาสพลาดยิ่งสูง ตอนแรกอาจจะตั้งอกตั้งใจขับ แต่พอนานไปก็ชักจะไร้สมาธิ ดังนั้นต้องพยายามเตือนตัวเองให้กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ แล้วยังต้องเรียนรู้ช่องทางที่จะเพิ่มความปลอดภัย ตลอดจนการระมัดระวังจุดอันตรายเป็นพิเศษ

สิ่งที่พูดกันมากในการขับรถด้วยความเร็วและวิ่งทางยาว อยู่ที่ควรทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าเท่าไหร บ้างก็ใช้สูตรเพิ่มระยะทุกความเร็วที่เพิ่มขึ้น 10 กม./ชม. ให้เพิ่มระยะห่างอีก 1 ช่วงคันรถ ซึ่งมันออกจะรวบรัดไปหน่อย เพราะมีตัวแปรค่อนข้างเยอะ อย่างเช่น เส้นทางราบเรียบและโล่ง ซึ่งเรามองได้กว้างไกล หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเรา มักเห็นได้ล่วงหน้า แม้รถคันข้างหน้าจะบดบังสายตาไปบางส่วนก็ตาม แบบนี้จี้ติดเข้าไปหน่อยก็ได้ เพราะหากมีอะไรเราสามารถมองเห็นได้ก่อน นอกจากนี้ประสิทธิภาพการทำงานของเบรคในรถแต่ละรุ่นก็ต่างกัน อย่างรถคันหน้าเป็นรถยุโรปราคาแพง ใช้ดิสค์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อนทั่งหน้าและหลังใช้แม่ปั๊ม 4 Pot ที่ล้อหน้า ส่วนล้อหลังใช้แบบ 2 Pot แค่แตะเบรกเบาๆ ความเร็ว 160 กม./ชม. ยังใช้เวลาหยุดไม่กี่สิบเมตร ต่างกับรถคันหลังเป็นรถญี่ปุ่นคันโตเครื่องใหญ่ แต่ใช้เบรกอันนิดเดียว ด้านหน้าใช้แม่ปั๊ม Pot เดียว ส่วนด้านหลังก็เป็นดรัมเบรก การเบรกนั้นวางใจลำบากจนกระทั่งเจ้าของรถจะติดร่มอยู่แล้ว คิดเอาเองว่าแบบนี้หากรถญี่ปุ่นขับตามหลัง เอาไปเทียบกับให้รถยุโรบอยู่หลัง โดยขับด้วยความเร็วพอๆ กัน ทั้งสองกรณี ระยะทิ้งห่างควรจะเท่ากันหรือไม่ อีกทั้งยังเป็นเรื่องฝีมือคนขับว่ามือเท้าว่องไวขนาดไหน

ดังนั้นการทิ้งระยะห่างกับรถคันข้างหน้า จึงควรว่ากันตามสถานการณ์และความรู้สึก โดยถามตัวเองว่า “ด้วยระยะห่างแค่นี้หากรถหน้ามีอะไรเกิดขึ้น เราสามารถหยุดทันหรือเปล่า” ถ้าตอบว่าสบายก็ยังสามารถขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิมได้อีก แต่ถ้ารู้สึกเหงื่อแตกใจสั่นมีความเครียดในการขับตาม ก็ควรยืดระยะให้ห่างออกมา

ในการขัยรถท่องเที่ยวเดินทางควรใส่ใจกับจุดคับขันต่างๆ อย่างเช่น ถนนผ่านเขตหมู่บ้าน หรือมีชุมชนหนาแน่นคับคั่ง หากเป็นยามบ่ายใกล้เย็นก็ต้องระวังรถจักรยาน และเด็กนักเรียนที่เพิ่งเลิกเรียนกำลังเดินทางกลับบ้านให้ดี และถ้าเป็นยามเย็นใกล้มืด ก็ต้องระวังพวก สิงห์ คะนองนา รถอีแต๋น หรือพวกรถมอเตอร์ไซด์โผล่พรวดออกมาจากข้างทาง ต้องใช้ความเร็วที่แน่ใจว่าหากมีอะไรโผล่ขึ้นมาขวางทางบนถนน เราสามารถเบรกรถหยุดได้ทัน

เบรคข้างหน้าแต่ให้ระวังข้างหลัง

บอกตรงๆ ว่าในการหยุดรถนั้น ทางด้านหน้าถือว่า “ไม่เท่าไหร่” หากเรามีการเตรียมตัว มีความรู้ มีประสบการณ์ มักจะสามารถเบรกได้ทันท่วงที แต่ที่มีปัญหาคือพวกรถที่ตามหลังเรามานั้น เค้าสามารถเบรกทันตามเราไปด้วยหรือเปล่า ไม่ใช่ยึดเอาบั้นท้ายรถเราเป็นที่เบรก ด้วยเหตุนี้ในการเบรกหยุดรถที่ปลอดภัยนั้น ไม่ใช่ว่าจะมองเฉพาะด้านหน้าอย่างเดียว แต่ต้องมองด้านหลังดูรถที่ตามด้วยว่าเค้าเบรกทันเหมือนเราหรือเปล่า หากพบว่าท่าทางจะรอดลำบาก เราก็ควรขยับรถไปทางด้านให้มากที่สุดเป็นการเพิ่มระยะในการเบรกขึ้นมาอีกหน่อย และหากเป็นไปได้ในการขับรถ ให้พยายามมองรถช่องทางด้านข้างเป็นระยะด้วย เพราะหากคันหน้าหยุดรถแล้วเราเกิดเบรกไม่ทันขึ้นมา หรือหลังจากมองกระจกหลังดูการเบรกรถแล้ว พบว่าท่าทางของรถคันหลังคงรอดยาก แล้วช่องทางด้านข้างที่เรามองไว้มันว่างพอจะแว่บหลบออกไปได้ ก็อย่าช้า ให้รีบเผ่นทันที

เพื่อความปลอดภัยต่อตัวท่านจาก Q4CAR

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การขับรถบนถนนที่ลื่น



การขับรถบนถนนที่ลื่น หากคุณต้องขับรถในหน้าฝน ซึ่งถนนมักลื่นเปียกอยู่เสมอ คุณจำเป็นต้องระวัง เป็นพิเศษเพื่อลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยลงหลุม บ่อ อิฐ ตะปู และเศษสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เพราะหากละเลยอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

ในสภาพฝนตก การเร่งความเร็วและเบรกแรง ๆ สามารถทำให้รถลื่นไถลได้ จึงจำเป็นต้องระมัดระวังและสร้างสมาธิในการขับมากเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามจำไว้ว่าหากเกิดการลื่นไถลขึ้นสิ่งที่คุณควรทำคือ

1. อย่าตกใจ
2. ยกเท้าออกจากคันเร่ง
3. เหยียบเบรกเบา ๆ
4. หมุนพวงมาลัยไปทิศทางเดียวกับหน้ารถจนกระทั่งคุณสามารถควบคุมรถได้

ถ้าคุณติดหล่ม

1. อย่าเร่งเครื่อง การโม่บดอย่างแรงจะทำให้หลุมลึกขึ้น
2. โรยกรวดทราย หรือขยะ (วัสดุที่เพิ่มการเสียดสีของล้อ) ด้านหน้าของยางทั้งหมดเพื่อรองรับการบด โดยเฉพาะล้อท้าย สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ยางยึดเกาะจนเคลื่อนออกจากหลุมได้
3. ถ้าปฏิบัติตามวิธีทั้งหมดแล้ว แต่คุณยังไม่สามารถออกจากหลุมได้ ให้โทรขอความช่วยเหลือจากบริการปัญหารถ

ความรู้เล็กๆ จากทางเรา Q4CAR

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Shock Ab & Coil Spring ลู่ทางในการอัพเกรดช่วงล่าง



เขียนถึงหลายๆ ระบบ-ชิ้นส่วน-กรรมวิธีต่างๆ ไปเยอะแล้ว แต่ยังไม่เคยกล่าวถึง “ช่วงล่าง” กันเลย เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเน้นแต่เฉพาะ “ท่อนบน” อย่างเดียว...

มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจกับตัวเลขของ “แรงม้า-โม้” เป็นหลัก แต่กับช่วงล่างที่ต้องมารับภาระที่หนักหนาสาหัสกว่าเดิม กลับให้ความสำคัญเพียงน้อยนิด...คิดจะทำรถให้เร็วให้แรง แต่ให้สมรรถนะในการเกาะถนนไม่สู้ดีหรือคุมไม่ได้ดั่งใจ มันจะสนุก และปลอดภัยอะไรล่ะครับ

แค่ช็อคอับ กับคอยล์สปริง...ก็รู้เรื่องแล้ว

องค์ประกอบหลักๆ ของช่วงล่างที่เราๆ ท่านๆ สามารถอัพเกรดได้อย่างง่ายๆ ชนิดที่เจ็บตัวน้อยหน่อย (แต่ยังไงก็เสียตังค์อยู่ดี) ก็คือ ไปยุ่มย่ามกับเจ้า “ช็อคอับ” และ “คอยล์สปริง” นี่แหละ แม้ว่าหลักการของเจ้า 2 ตัวนี้ จะมีหน้าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ด้วยภาวะจำยอมทำให้ต้องทำงานร่วมกันเพื่อดูดซับแรงสะเทือนจากพื้นถนน หรือแทร็คที่แอบไป “ห้าว” เล็กๆ ในวันว่างให้เหลือมากระทบกระทั่งถึงคุณๆ ท่านๆ น้อยที่สุด...หน้าที่ในการรับน้ำหนัก (โดยการยุบหรือยืดตัว) และดูดซับแรงกระทำไม่ว่าจะยุบลง หรือนูนขึ้นมาจากพื้นถนนจะรับผิดชอบ โดยคอยล์สปริง (แหนบหรือทอร์ชั่นบาร์ไม่ขอพูดถึง) แต่ธรรมชาติของสิ่งใดๆ ก็ตามที่มี “แรงดีดกลับ” (Spring) มันก็จะดีดตัวอย่างรุนแรง และรวดเร็ว หากนึกภาพไม่ออกก็ลองไปกด “ที่เย็บกระดาษ” ดูก็ได้ แล้วก็ปล่อยมือออกทันที คุณจะเห็นภาพว่ามันก็จะเด้งขึ้น-ลงอย่างรวดเร็ว และใช้เวลาพอสมควรกว่าตัววัตถุจะหยุดนิ่ง ถ้ารถมีแต่คอยล์สปริงเพียวๆ อาการก็จะประมาณนั้นแหละ...คราวนี้ก็มาว่ากันที่ตัว “ช็อคอับ” หรือ Shock Absorber กันต่อ ซึ่งจะมีหน้าที่ต้านและชะลอการยุบ-ยืดตัวอย่างรวดเร็วของเจ้าสปริงให้ทำงานช้าลง ด้วยความหนืดของน้ำมัน หรือแก๊ส (ก็ว่ากันไป) ที่อยู่ภายในกระบอกช็อคอับนั่นเอง

คิดก่อน...ว่าจะเอาไปใช้งาน หรือเอาไปแข่ง

หากเราสามารถเลือกรุ่นของช็อคอับได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมตามลักษณะการใช้งานและรูปแบบของรถ มันก็ช่วยให้เราได้สมรรถนะสูงสุดจากช็อคอับชุดนั้นๆ อย่างครบถ้วน ไม่ใช่ว่าไปเอารุ่นท้อปสุดที่ออกแบบสำหรับแข่งขันมาใช้กับรถบ้านเพราะอยากได้ที่มันสามารถปรับโน่น ตั้งนี่ได้ตามประสงค์โดยความกระด้างที่ส่อเค้าถึงความเป็น “เกวียน” ติดล้าก็จะตามมาให้ได้สัมผัสทันทีหรือแม้แต่การเซ็ทรถเพื่อเอาไปแข่ง แต่ดันไปหาแบบ Street Use มารับภาระแทน ไอ้เรื่องยวบยาบ-ย้วย-โยน ก็คงไม่หนีไปไหนแน่นอน

แนวทางในการเลือกช็อคอับจาก HKS

ถือเป็นโชคดีของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสพูดคุย (ผ่านล่าม) กับ Mr.Tatsuya Igaki : Senior Staff ฝ่าย Shock Ab จาก HKS ญี่ปุ่นกับข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับการเซ็ทช่วงล่างให้เหมาะกับรูปแบบการใช้งาน และรายละเอียดของช็อคอับรุ่นต่างๆ ...จากประสบการณ์กว่า 10 ปี ของ Mr.Tatsuya นับตั้งแต่เริ่มงานพร้อมๆ กับการบุกเบิกสินค้าในกลุ่มช็อคอับของ HKS ความรู้ และประการณ์ในส่วนของช็อคอับจึงไม่ต้องสงสัย...เสียดายที่จ้อ “ญี่ปุ่น” ไม่เป็น ไม่งั้นคงได้ซักถามกันจนน้ำลายแห้งคอ

จุดเด่นของช็อคอับตระกูล Hipermax คือ เป็นช็อคแบบ Single Tube ที่มีห้องกักเก็บน้ำมันเพียงห้องเดียว ไม่แยกเป็น 2 ชั้น เหมือน Twin Tube ที่จะมีผนังกั้นอีกชั้นระหว่างตัวลูกสูบและกระบอกช็อค...จากหลักการที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ให้ประสิทธิภาพเหนือชั้น ด้วยขนาดของลูกสูบที่มีขนาดใหญ่กว่าภาระของลูกสูบในจังหวะที่เคลื่อนตัวขึ้น-ลงก็จะน้อยลง ส่งผลให้ Hipermax เป็นช็อคอับที่ให้ประสิทธิภาพในการเกาะถนนดีเยี่ยม แต่ยังคงไว้ซึ่งความนุ่นนวล ในการดูดซับแรง ไม่กระด้าง และนั่งสบาย...ไปดูกันดีกว่าว่า HKS เค้ามีช็อคอับไว้รองรับการใช้งานรูปแบบใดกันบ้าง กับตระกูล Hipermax Series

Hipermax Performer

ภายใต้เรือนกายที่คมเข้มด้วยกระบอกช็อค และคอยล์สปริงสีดำ เหมาะสำหรับการใช้งานแบบ Street Use ที่ยังคงความนุ่มนวลในส่วนของการซับแรงจากพื้นถนน ไม่กระด้าง และนั่งสบายเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน สามารถปรับความสูงต่ำได้ที่ตัวกระบอก และความแข็ง-อ่อน ที่สามารถปรับได้ถึง 30 ระดับ

Hipermax D’

ตัว “D” (อ่านว่า “ดีแดช”) สำหรับภารกิจ “ท้ายกวาด” แบบ High Speed Drift โดยเฉพาะด้วยการออกแบบให้ตัวช็อคสามารถยุบ-ยืดตัว ในขณะสไลด์ได้ง่าย โดยไม่ดีด หรือโยนเมื่อต้องแก้อาการต่อ ตัวกระบอกเป็นสตรัทปรับสูง-ต่ำได้ และความแข็งอ่อนที่สามารถปรับได้ถึง 30 ระดับ รถขับหน้าไม่เหมาะสำหรับรุ่นนี้ เพราะเค้าทำมารองรับสาวก “ปั่นหลัง” โดยเฉพาะ เรื่องสมรรถนะคงไม่ต้องไปสืบ เพราะ Mr.Nobuteru Taniguchi นักดริฟท์มือ 1 ของ HKS เข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาช็อคอับรุ่นนี้ด้วยครับ

Hipermax II

เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพวกที่ชอบแอบไปกระหน่ำคันเร่งตามสนามแข่งในวันหยุด เพราะ Hipermax II ออกแบบให้เป็นกึ่ง Street กึ่ง Sport กับตัววาล์วภายในที่ออกแบบเป็นพิเศษ ที่ยังคงความนุ่มนวลในการใช้งาน แต่ให้สมรรถนะในการเกาะถนน และบังคับควบคุมได้ดั่งใจ กับความแข็ง-อ่อนที่เลือกได้ถึง 30 ระดับ ควบคู่กับความสูง-ต่ำที่สามารถปรับตั้งได้ด้วยเช่นกัน

Hipermax LS+

เหมาะสำหรับซีดานหรูแนวๆ Luxury Sport Vehicles โดยเฉพาะกับการออกแบบที่เน้นความเงียบของตัวช็อคอับเป็นพิเศษ ด้วยเบช็อคอับที่ผลิตจากบู๊ชยางพิเศษที่แข็งแรงทนทาน แต่ช่วยลดเสียงจากการทำงานได้ดีกว่า ปรับความแข็ง-อ่อนได้ 30 ระดับและความสูง-ต่ำได้

Hipermax C Wagon และ C Wagon+

ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าสำหรับ “Wagon” ทั้งหลายออกแบบมาเพื่อความนุ่มนวล และนั่งสบายเป็นหลัก ให้สอดคล้องกับการเป็นรถครอบครัว ควบคู่กับสมรรถนะในการเกาะถนนที่ดีและนิ่งกว่าเดิม ปรับสูง-ต่ำ และความแข็ง-อ่อนได้ 30 ระดับ (มีเฉพาะในรุ่น C Wagon+)

Hipermax S Style

รุ่นนี้ก็ยังวนเวียนอยู่กับสายพันธุ์ Wagon หรือ MPV แต่เป็นพิกัดโตๆ หน่อยในคราบรถแต่งสไตล์ญี่ปุ่น (นิยม) กับแอร์โร่พาร์ทอลังการ โหลดเตี้ยแบบสุดๆ (ช่วงยุบตัวน้อย) กระทะล้อวงโต ยางซีรี่ต่ำ และเครื่องเสียงเพียบๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักได้อย่างดี พร้อมกับพื้นที่ๆ สามารถขนผู้โดยสารไปได้อีก 5-7 คน แต่ทว่ายังต้องการความนุ่มนวล และการรับน้ำหนักที่ดีของตัวช็อคอับ (เรื่องมากจริงๆ) ผลสรุปออกมาคือ HKS S Style ที่นำเสนอสู่คุณได้ทุกความต้องการดังที่กล่าวมา (HKS Low-down Technology) รวมถึงความสูง-ต่ำ และความแข็ง-อ่อน 30 ระดับด้วยเช่นกัน แต่จะมีระยะยุบตัวน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการดังกล่าวข้างต้น

Hipermax C Compact และ S Compact

รุ่นนี้ห้ามรถตัวโต เพราะเค้าเน้นแต่ Compact Cars เท่านั้น ที่จะได้สัมผัสกับประสิทธิภาพชั้นยอด จากช็อคอับชุดนี้ กับประสิทธิภาพในการเกาะถนนที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความนุ่มนวล สามารถปรับความสูง-ต่ำ และความแข็ง-อ่อนได้ 30 ระดับ (เฉพาะรุ่น S Compact) ถ้าจะเอาไปใช้งานก็พิจารณาดูความแตกต่างของช็อคอับแต่ละรุ่น ว่าคุณสมบัติเป็นอย่างไร คุ้มค่าต่อการเสียทรัพย์หรือไม่ เพราะบางตัวก็มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันมาก อย่าง C Compact กับ S Compact ที่แตกต่างกันที่การปรับความแข็ง-อ่อนของตัวช็อคอับเท่านั้น เพราะก่อนที่จะเลือกรุ่นก็จงไตร่ตรองให้ดีว่าต้องการคุณสมบัติใดของช็อคอับบ้างกับการที่เลือกมาเป็นเนื้อคู่คุณ เพราะความสามารถในการปรับตั้งนู่นตั้งนี่ทั้งหลาย มันไม่ได้แถมมาให้ฟรีๆ นี่นา

เอาไปแข่งแบบไหน เซ็ทตามอาการของตัวรถ

จากข้อมูลที่ทางทีมช่างของ HKS ได้กรุณาชี้แจงให้ทราบ ก็จะแตกต่างกันไปทั้ง Drift, Drag และ Circuit ก็คือ ในกรณีที่ใช้แข่ง Drag ประเด็นสำคัญอยู่ที่การออกตัว เนื่องจากน้ำหนักจะถูกถ่ายเทไปยังด้านท้ายรถ (ไม่ว่าจะขับหน้า-หลัง หรือขับ 4) ตรงนี้ต้องเซ็ทให้ช็อคหน้าแข็ง ยืดเร็วๆ ส่วนด้านหลังยุบเร็ว หรือในจังหวะที่เปลี่ยนเกียร์ ที่น้ำหนักจะถ่ายเทไปยังล้อคู่หน้า ต้องให้ช็อคหน้ายุบยาก ยืดเร็ว ค่า Damping Rate ต่ำ ส่วนคู่หลังที่ต้องรับภาระตอนออกตัว ให้ยุบตัวง่ายๆ ยืดตัวช้าๆหรืออย่าง Drift ที่ไม่ได้เซ็ทมาให้รถวิ่งไปข้างหน้าแค่ทิศทางเดียว แต่ยังต้องแก้อาการท้ายกวาดด้วย อาการโดยรวมของช็อคสำหรับรถดริฟท์ คือ ยุบเร็ว ยืดช้า เพราะถ้ายุบช้า คืนเร็ว พอรถตั้งลำได้ ก็ต้องมาแก้อาการของตัวรถกันใหม่ ส่วนรุ่น Pro ที่ออกแบบมาสำหรับการ แข่งขันในสนามนั้น ก็จะคล้ายๆ กับตัว D’ เพียงแต่จะแข็งกว่า และค่า Damping Rate ต่างกัน แต่ทั้งหมดทั้งปวง ล้วนอยู่ที่ผู้ขับเป็นสำคัญว่าต้องการอาการของช็อคอับแบบไหน การประกอบช็อคอับอย่างถูกวิธี

หลายๆ ท่านที่เคยไปให้อู่-ร้านถอด-เปลี่ยนช็อคอับคงจะชินตากับการประกอบใส่ด้วยเครื่องมืออันหลากหลาย ทั้งประแจบล็อกและบล็อกลมที่ช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น...แต่ค่าแรงขันไม่สามารถกำหนดเอาแน่เอานอนได้ขึ้นอยู่กับ “เด็กอู่” ว่าแข็งแรงแค่ไหน หรือแช่บล็อกลมไว้นานเท่าใด คงมีไม่กี่แห่งที่จะมี “ประแจปอนด์” ไว้คอยบริการคุณ ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่สามารถคาดคะเนแรงที่ใช้ได้อย่างเป๊ะๆ หรอก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เป็นแม็คเฟอร์สันสตรัท ซึ่งต้องยึดกระบอกช็อคอับเข้ากับคอม้า ซึ่งมักจะเกิดการผิดพลาดจาการประกอบโดยไม่รู้ตัว เพราะในขั้นตอนการติดตั้งช็อคอับ ยังไงเสียรถก็ต้องลอยจากพื้น (จะด้วยฮอยท์ยกรถ หรือสามขาก็ว่ากันไป) น้ำหนักที่ดุมล้อมันก็จะทิ้งดิ่งตามแรงโน้มถ่วงของโลก อันจะทำให้รูน็อตที่คอม้ากับตัวกระบอกเยื้องกันเอง เนื่องจากผู้ผลิตเค้าจะออกแบบเผื่อระยะของรูน็อตมาให้อยู่แล้วจะไม่ “คับ” พอดีเป๊ะ ยกตัวอย่างความโตของเกลียวน็อต คือ 14 มม. รูที่คอม้าและสตรัมอาจจะเป็น 14.3-14.5 มม. เพื่อเผื่อระยะการถอดใส่ ซึ่งเจ้าระยะที่เผื่อนี่แหละที่ต้องระวังในการประกอบ (ไอ้ตอนถอดไม่เป็นไร) จากเหตุผลที่ชี้แจงให้ทราบไปแล้วข้างต้นว่า ขณะประกอบถ้าปล่อยให้ดุมล้อทิ้งน้ำหนักลงตามธรรมชาติ แม้จะร้อยน็อตเข้าไประหว่างคอม้ากับตัวสตรัทแล้วก็ตาม รูน็อตที่มันใหญ่กว่าตัวน็อตก็จะถูกดึงจนประชิดตามแนวที่ดุมล้อมันทิ้งดิ่งอยู่...แต่ความเป็นจริงในตอนที่รถใช้งานตัวดุมจะถูกดันจากน้ำหนักตัวรถให้ดันเข้าหาตัวรถ (ซึ่งจะสวนทางกับตอนประกอบที่ดุมจะถูกถ่วงด้วยน้ำหนักของตัวดุมเอง) และไปเบียดกับแนวรูน็อตที่ขันเข้าไป (แบบผิดๆ) พอใช้ไปนานๆ จนตัวน็อตเริ่มคลายตัวและเคลื่อนตัวได้ก็จะเกิดเป็นช่องว่างให้จุดยึดคอม้า+น็อต+สตรัท เกิดเป็นเสียงให้คุณรำคาญ กับมุมล้อที่ผิดเพี้ยนไป ง่ายๆ คือ หาแม่แรงมายกที่ดุมจานเบรกไว้ซะ (ห้ามยกที่สันจาน) เพื่อให้กระบอกช็อคและคอม้าอยู่ในตำแหน่งเดียวกับตอนขับขี่จริง...

เขียนมาซะยืดยาวไม่รู้ว่านึกภาพตามออกหรือเปล่า ยังไม่จบ มาว่ากันถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงกับช่วงล่าง (ทั้งๆ ที่ชิ้นส่วนอื่นๆ ยังดีอยู่) กันต่อ จะว่าเป็นเส้นผมบังภูเขาก็ได้กระมัง กับแรงในการขันน็อตยึดต่างๆ ชนิด “ทุ่มเทแรงกายแรงใจ” มากจนเกินเหตุ จนค่าของแรงขันผิดเพี้ยนไปหมด อันจะส่งผลให้บรรดาชิ้นส่วนต่างๆ บีบรัดกันแน่นจนเกินไปซึ่งจะสร้างความเสียหายจากจุดนี้ได้ไม่น้อย เบาๆ ก็อาจจะสร้างเสียงให้รำคาญจากการเสียดสีของชิ้นส่วนต่างๆ แต่ถ้าหนักๆ ก็คงจะทำให้ชิ้นส่วนชำรุดได้ไม่ยาก หรือกระทั้งแรงขันน้อยเกินไป แล้วน็อตเกิดคลายตัวละก็...

บางครั้งในการซ่อมบำรุงเราก็ไม่สามารถทำเองได้ด้วยความที่เครื่องมือไม่พร้อม ไม่มีเวลา กลัวเลอะ หรือไม่ค่อยจะมีทักษะความเป็นช่างก็แล้วแต่ ทว่าก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสักเท่าไหร่หรอก กับการใส่ใจดูแลรถยนต์ของคุณ ที่พอจะทำได้ก็คือพยายามหาอู่ที่มีเครื่องมือครบๆ ดูแลรถเราดีๆ หรือลองสังเกตดูพวกช่าง ทั้งหลายเวลาลงมือให้มากหน่อยก็แล้วกัน เช่นกันกับของแต่งที่คอยละลายทรัพย์ ของเหล่า “นักเลงรถ” ทั้งหลาย ถ้าอยากเสียเงินอย่างคุ้มค่าก็ควรศึกษา และประเมินความต้องการของตัวเองไว้ก่อน ไม่ใช่เสียเงินหลัก “แสน” แต่ใช้ประสิทธิ ภาพแค่หลัก “หมื่น” มันจะไม่คุ้มเอานา...

เกร็ดเล็กๆ จากทางเรา Q4CAR

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

"บวกราคาอะไหล่" การโกงของอู่ ที่ยากแก้ไข



การซ่อมรถตามอู่ทั่วไป ส่วนใหญ่จะใช้อะไหล่ทดแทนเทียมจากร้านอะไหล่และให้อู่จัดซื้อ แล้วมาเก็บเงินพร้อมค่าแรง มีกลโกงของอู่กับการบวกค่าอะไหล่เกินจริง
หลายคนพอจะทราบ แต่ทำใจจ่ายเงินได้ แต่มีบางคนเท่านั้นที่ต้องโวย เพราะถูกบวกเกินเป็นเท่าหรือหลายเท่าตัว แวดวงอู่ซ่อมรถในไทย กับการบวกค่าอะไหล่ กลายเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ไม่ปกติและควรขจัดให้หมดไป แต่ในความเป็นจริงก็พอจะสรุปได้ว่า ไม่มีวันหมด และยากแก้ไข อ่านเรื่องราวและเหตุผลที่ทำให้เป็นเช่นนั้น

การให้อู่ซื้ออะไหล่ให้ เป็นสาเหตุสำคัญ

เจ้าของรถส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้เรื่องรถลึกพอจะจัดซื้ออะไหล่ให้อู่ได้ หรือถึงจะได้ แต่มักไม่มีเวลาเดินทางไป-มาเพื่อซื้ออะไหล่ อู่เองก็ขาดความคล่องตัวและเสียเวลาในการทำงาน ถ้าเมื่อถอดชิ้นส่วนออกมาดูแน่แล้วว่าเสีย แต่ต้องรอลูกค้าซื้ออะไหล่ให้ การอู่จัดซื้อให้จะสะดวกกว่า เพราะมีการซื้อ-ขายกับร้านอะไหล่กันมานานแล้ว บางครั้งโทรศัพท์สั่งก็ได้ และอู่ก็มีความเชี่ยวชาญในการเลือกอะไหล่ (ถ้าสุจริตใจ)
นับเป็นเรื่องปกติที่การซ่อมรถในอู่กว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนลูกค้าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอู่ในการจัดซื้ออะไหล่ จึงเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการบวกราคาค่าอะไหล่อย่างง่ายดาย ใบเรียกเก็บเงินค่าอะไหล่กับลูกค้า มี 2 แบบ คือ ใบเสร็จจากร้านอะไหล่ หรือใบเสร็จค่าอะไหล่รวมค่าแรงที่ออกโดยอู่ ง่ายทั้ง 2 แบบที่จะลงราคาอะไหล่เกินจริง เพราะอู่ก็คุ้นเคยอยู่กับร้านอะไหล่ๆ เองก็ทราบวงจรการโกงนี้อยู่แล้ว

ความโลภ และลดตัวเลขค่าแรง

เงิน ใครๆ ก็อยากได้ ยิ่งโกงง่ายก็ยิ่งทำให้คนดีกลายเป็นคนโกงได้ง่ายตามไปด้วย ทางอู่เห็นว่าการจัดซื้ออะไหล่ให้ ควรมีค่าจัดซื้อหรือค่าเสียเวลาบ้าง แต่ในเมื่อไม่สามารถแยกรายการเก็บเงินกับลูกค้าได้ จึงรวบรัดบวกเข้าไปในค่าอะไหล่ แต่ก่อนบวกกันห้าสิบบาทร้อยบาท หรือห้าเปอร์เซ็นต์สิบเปอร์เซ็นต์ต่อชิ้น ก็สมเหตุสมผลแล้ว เพราะอาชีพช่าง คือ ขายแรงงาน รับเงินจากค่าแรงค่าฝีมือ

บวกเล็กบวกน้อยมาเรื่อยๆ เมื่อลองเพิ่มการบวก ลูกค้าก็จับไม่ได้ หรือไม่สนใจจะจับผิด บวกกับความโลภ ต่อมาอู่ก็บวกค่าอะไหล่ตามอำเภอใจ ไม่มีเปอร์เซ็นต์แน่นอน (บางอู่บวกมาก-น้อยตามความอยากใช้เงินในช่วงเวลานั้น) โดยจะเดาดูว่าอะไหล่ชิ้นนั้นซื้อมาในราคาถูกมากไหม และคิดต่อไปว่าคนส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นชิ้นที่มีราคาแพงหรือไม่ ถ้าซื้อมาถูก แล้วใครๆ ชอบมองว่าชิ้นนี้น่าจะแพง ก็จะบวกราคามาก แต่ถ้าซื้อมาแพงและดูเป็นอะไหล่พื้นๆ ก็จะบวกราคาแค่เล็กน้อย

หากเป็นรถยี่ห้อแพงดูหรู เช่น เบนซ์ ถ้าบังเอิญว่าซื้ออะไหล่มาราคาถูก ก็จะบวกราคาเข้าไปเต็มเหยียด เพราะลูกค้าเองก็คิดว่าอะไหล่เบนซ์จะต้องแพง ถ้าบวกน้อยแล้วราคายังต่ำ ลูกค้าอาจจะโวยวายได้ว่าซื้ออะไหล่คุณภาพต่ำมาให้ โดยสรุปก็คือ การบวกค่าอะไหล่น่าจะเพิ่มแค่เล็กน้อย ถือเป็นค่าอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า แต่เมื่อไม่มีใครจับได้ผสมกับความโลภ ก็จะบวกกันมากขึ้นจนสูงเท่าที่ลูกค้าจะไม่สงสัย

บางอู่บวกค่าอะไหล่ไว้มาก จึงใช้วิธีดึงดูดลูกค้าด้วยการคิดค่าแรงไม่แพง หรือต่ำกว่าปกติเล็กน้อยด้วยซ้ำ เช่น จริงๆ ควรคิดค่าแรง 1,500 บาท ก็คิดค่าแรงแค่1,000 บาท แต่ได้กำไรจากการบวกค่าอะไหล่อีกเป็นพันบาท ลูกค้าส่วนใหญ่เห็นค่าแรงถูกๆ ก็ชอบ ทำให้บางอู่ที่คิดค่าแรงตามจริง แต่บวกค่าอะไหล่น้อยหรือไม่บวกเลย ถูกลูกค้ามองว่าคิดค่าแรงแพง ไม่น่าเข้าไปทำ จึงทำให้หลายอู่ที่ซื่อสัตย์ต้องทำตาม คือ บวกค่าอะไหล่ไว้เพียบ แล้วจูงใจด้วยค่าแรงถูก อีกประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดการบวกอะไหล่ก็คือ ความง่ายในการโกงแค่เขียนตัวเลขเท่านั้น

อู่ไม่รู้สึกผิด ไม่กลัวถูกจับได้

เจ้าของอู่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่า อู่ไหนก็ทำ จึงไม่รู้สึกผิด และคิดเข้าข้างตัวเองอีกว่า การบวกค่าอะไหล่เป็นการชดเชยการคิดค่าแรงถูกไม่กลัวถูกจับได้ เพราะมีลูกค้าน้อยคนมากที่สงสัยและต้องเสียเวลาไปเช็คราคาอะไหล่ ซึ่งร้านอะไหล่ส่วนใหญ่ก็มักไม่อำนวยความสะดวก ไม่อยากเสียเวลา ส่วนใหญ่จะชะล่าใจและทำใจคิดว่าอู่บวกค่าอะไหล่ไม่มาก ถือว่าเป็นค่าจัดหาเพิ่มความสะดวก ถ้าลูกค้าที่เข้มงวดกับเรื่องนี้จริงๆ มักจะตั้งเงื่อนไขแต่แรกว่าจะซื้ออะไหล่เอง (ซึ่งมีน้อยอู่ที่ชอบลูกค้าแบบนี้)

อย่าคิดว่าจะบวกแค่10-20 %

ตามที่บอกไว้ข้างต้น คือ ถ้าทางอู่มีความโลภ ก็จะบวกเต็มที่ เน้นแค่ไม่ให้แพงจนลูกค้าสะดุ้ง เอะใจจนเกิดเรื่องทะเลาะกัน หรือลูกค้าไปสืบเสาะราคาจริง ความแน่นอนจึงไม่มี บางชิ้นจึงบวกแค่ไม่กี่สิบบาท (แต่รวมกันแล้วหลายร้อย) คิดเป็น 10-20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่บางชิ้นอาจจะถูกบวกกว่าเท่าตัว หรือ 3 เท่าตัวก็มี (พิมพ์ไม่ผิด 3 เท่าตัว) เช่น ซื้อมา 120 บาท ลงรายการรับเงินจากลูกค้า 380 บาท โดยเฉพาะรถที่คนเชื่อกันว่าราคาอะไหล่แพงหรือเป็นรถหรู

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมีอะไหล่จากซัพพลายเออยี่ห้อดังขายในราคาถูกเช่น เบนซ์ บีเอ็มฯ ฮอนด้า โดยเฉพาะเบนซ์นั้น อู่เห็นว่าลูกค้ามักจะมีเงินและตัวลูกค้าเองก็มักไม่มีความรู้เรื่องรถและฝังใจว่ารถตนเองหรู อะไหล่ก็ต้องแพงเป็นธรรมดา ในขณะที่ราคาอะไหล่เบนซ์นอกศูนย์ฯ ตามร้านทั่วไปถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับระดับตัวรถ อู่จึงมีช่องบวกราคาได้ 2-3 เท่าตัว ถ้ าใครใช้เบนซ์แล้วไม่เคยซื้ออะไหล่เอง ลองไปถามราคาจากร้านอะไหล่เบนซ์ทั่วไป เมื่อทราบราคาจริงแล้วจะสุดแค้นว่าทำไมบางอู่ถึงบวกราคาอะไหล่กันมากอย่างนี้

ยากแก้ไขและลบล้าง การบวกอะไหล่ของอู่ไทย

ด้วยหลายเหตุผล เพราะเจ้าของรถ ไม่มีความรู้มากพอจะซื้ออะไหล่ได้ดี หรือไม่มีเวลาว่างพออู่ขาดความคล่องตัวและเสียเวลารออะไหล่ ถ้าลูกค้าจัดซื้อเอง หลายอู่ไม่อยากซ่อมรถให้ ถ้าลูกค้าซื้ออะไหล่เอง เพราะจะได้กำไรน้อยกว่าเดิมมาก ค่าแรงก็คิดเพิ่มไม่ได้ ราคาอะไหล่ ถึงจะชิ้นเดียวกันยี่ห้อเดียวกัน แต่ต่างร้านก็อาจไม่เท่ากัน

คำถามที่ตามมา คือ จะให้ทำอย่างไร ถ้าเลือกจะซ่อมรถตามอู่ แต่ไม่อยากถูกบวกค่าอะไหล่ คำตอบ คือ พยายามเลือกอู่ที่พิสูจน์คร่าวๆ แล้วว่า บวกค่าอะไหล่ไม่มาก ก็คงมีคำถามตามมาอีกว่า จะเลือกจะพิสูจน์ได้อย่างไร ไม่ง่ายครับ เพราะต้องเอารายการไปเปรียบเทียบราคากับร้านอะไหล่ ซึ่งร้านฯ ก็มักไม่เสียเวลาทำให้ เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไรและอาจเป็นการสร้างศัตรู หากลูกค้าเอาชื่อร้านอะไหล่ไปอ้างตอนเถียงกับอู่ หรือการเทียบก็อาจไม่ชัดเจน ถ้าเป็นอะไหล่ทดแทนหรือเทียม ที่มีให้เลือกหลายยี่ห้อ ในใบรายการจากอู่ก็มักไม่มีรายละเอียดมากไปกว่าการระบุว่าเป็นอะไหล่ชิ้นใด

เกริ่นตั้งแต่หัวเรื่องว่า การบวกค่าอะไหล่ เป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ในเมืองไทย และน่าสงสารลูกค้าอย่างมากที่หลายอู่บวกราคาอะไหล่มากถึง 2-4 เท่ากันบ่อยๆ (เกิดขึ้นจริงและไม่น้อย) และไม่เกิดเรื่อง แต่ลูกค้าจะซื้ออะไหล่เองก็ยุ่งและทำไม่เป็น ถ้าอู่จะคิดค่าแรงแพงตามจริงก็ไม่ยอม ผิดที่อู่เป็นหลักที่โลภมาก และผิดที่ลูกค้าบางส่วนที่สบายใจเมื่อเห็นเรียกเก็บเงินด้วยค่าแรงถูกๆ และไม่มีองค์กรใดควบคุมได้ แม้แต่ สคบ. เพราะตัวอะไหล่เอง มีราคาแตกต่างกันในแต่ละร้าน และอู่จะถูกตรวจสอบเมื่อลูกค้าสะกิดใจในราคาเท่านั้น อู่ที่ไม่หน้ามืดก็มักจะมีความรอบคอบในการโกงอยู่เสมอในการบวกราคาอะไหล่ไม่ให้ลูกค้าเอะใจ

รู้ไว้่ไม่เสียหายจากทางเรา Q4CAR

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การเลือกซื้อรถใหม่



การเลือกซื้อรถยนต์สักคันนั้น จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา สมรรถนะ ยี่ ห้อ ฯลฯ ที่จะมาเป็นสิ่งกระตุ้นในการเลือกซื้อ แต่หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อจริง ๆ แล้วมักจะไม่ค่อยตายตัวสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ความพึงพอใจมากกว่า
เราจึงนำหลักเกณฑ์อย่างกว้าง ๆ ในการพิจารณาเลือกซื้อรถซึ่งอาจจะช่วยในการตัดสินใจของท่านได้ไม่มากก็น้อย

การเลือกซื้อรถใหม่ควรพิจารณาองค์ประกอบ ดังนี้

1. คำนึงถึงงบประมาณ การประกัน ประโยชน์ในการใช้งาน เพื่อจะซื้อรถได้คุ้มค่าที่สุด

2. ตรวจเช็คเกี่ยวกับข้อมูลการใช้น้ำมัน เบี้ยประกันการบริหารอุปกรณ์อะไหล่ และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา

3. สำรวจยี่ห้อ ราคา แบบ รุ่น จากนิตยสารที่เกี่ยวกับรถแคตตาล็อกจากร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วไป แล้วนำมาเปรียบเทียบข้อมูลต่าง ๆ อย่าพึ่งด่วนสรุปตัดสินใจซื้อ

4. เลือกซื้อจากตัวแทนจำหน่ายใหญ่ ๆ ที่น่าเชื่อถือ

5. สำรวจพื้นที่ในการใช้สอยในรถ อุปกรณ์อำนวยความสะดวก

6. ตกลงกับผู้ขายในเรื่องค่าโอนทะเบียนรถและอื่น ๆ ให้เป็นที่เรียบร้อยและพึงพอใจสำหรับตัวท่านเอง

7. สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ทดสอบขับเสียก่อน อย่าตัดสินใจซื้อเมื่อไม่มีโอกาสได้ทดสอบขับ เพราะหากมีอะไรไม่ถูกใจหรือไม่ชอบจะได้เปลี่ยนรุ่นหรือยี่ห้อได้

8. ควรมีเพื่อนหรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรถไปด้วย เมื่อมีการดูรถควรถ่ายรูปรถของคุณไว้อย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นภายนอก ภายในเครื่องยนต์ ทะเบียน กันชน ไฟหน้า - หลัง รวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น แอร์ วิทยุเทปและอื่น ๆ เพื่อเตรียมไว้ในกรณีที่ถูกเฉี่ยวชน โดนขโมย

ส่วนใหญ่ในการซื้อรถใหม่นั้นไม่ค่อยมะไรยุ่งยากมากเท่าใดเพราะรถจะถูกตรวจสอบมาจากโรงงานและเป็นรถใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ ประสิทธิภาพก็คงดีอยู่มาก ยังไงแล้วเพื่อความแน่นอนควรตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อทุกครั้ง
เมื่อท่านซื้อรถใหม่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือ การรันอิน และการรันอินนั้นจะต้องทำอย่างถูกวิธี เพื่ออายุการใช้งานของรถยาวนานขึ้น แต่ถ้าใช้ผิดวิธีการทำงานของรถจะสั้นกว่าปกติ ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์จะไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งการรันอินนั้นจะแบ่งเป็น 2 ช่วง

ช่วงรันอินที่ 1 ในช่วง 500 กิโลเมตรแรก ควรหาโอกาสขับรถในระยะทางไกล เช่น ไปต่างจังหวัด ขับขี่ด้วยความเร็วปานกลางและนิ่มนวลพยายามอย่าให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก หลีกเลี่ยงการใช้โช๊คอัพในการสตาร์ท ควรเปลี่ยนแปลงความเร็วอย่าใช้อัตราคงที่ ไม่ควรขับด้วยความเร็วจุดใดจุดหนึ่งเป็นเวลานาน เพื่อให้การสึกหรอของเครื่องยนต์เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ

ช่วงรันอินที่ 2 จาก 500 กิโลเมตรไปจนถึงราว 3,000 กิโลเมตรแรกหนังสือคู่มือ การรันอินในกิโลเมตรช่วงที่ 2 ( หลัง 500 กิโลเมตรแรกไปแล้วจนถึง 3,000 กิโลเมตร ) ควรขับอย่างนิ่มนวล
การรันอิน คือ การขับขี่ที่อยู่ในระยะทางช่วงใดช่วงหนึ่งที่มีการกำหนดโดยบริษัทรถยนต์หรือช่างที่ชำนาญ

ความรู้เล็กๆ ที่ทางเรา Q4CAR นำมาฝากทุกท่าน

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เลือกซื้อยาง



บทความก่อนหน้านี้ได้พูดถึงวิธีการใช้รถใหม่ในช่วง"รันอิน"เพื่อให้รับกับกระแสการ เปิดตัวรถใหม่ในปีนี้ ทว่าครั้งนี้ ผมจะขอพูดถึงวิธีการเลือกซื้อ"ยางรถยนต์"เพื่อเอาใจผู้ที่ยังไม่คิดจะ เปลี่ยนรถแต่คิดที่จะเปลี่ยนยางกันบ้าง

สำหรับวิธีการเลือกซื้อยางรถยนต์นั้นมีวิธีดังนี้ เช่น

1. ควรเลือกขนาดของยางตาม ที่คู่มือรถแนะนำ ซึ่งส่วนมากจะมีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ ยางหน้าแคบ และยางหน้า กว้าง ยางหน้าแคบจะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่ายางหน้ากว้าง ส่วนยางหน้ากว้าง จะเกาะถนนได้ดีกว่า

2. ควรเลือกซื้อยางที่ผลิตในประเทศ เพราะยางที่ผลิตในประเทศจะผลิตออกแบบมา เพื่อใช้ในสภาพถนนเมืองไทยโดยตรง

3. ควรเลือกซื้อยางที่มีร่องรีดน้ำ เพราะจะช่วยให้ การเกาะถนนดีขณะรถวิ่งบนถนนลื่น

4. เมื่อคุณภาพยางแต่ละยี่ห้อใกล้เคียงกัน ก็พิจารณาด้านราคา และเงื่อนไขการรับ ประกันต่อไป

5. ถ้าต้องการความนิ่มนวลก็เลือกยางที่มีแก้มยางชั้นเดียว ถ้าต้องการความทนทาน ก็เลือกยางที่มีแก้มยาง 2 ชั้นแต่ไม่ค่อยนิ่มนวลนัก

6. ดูเลือกวันที่ผลิตยาง ควรเลือกยางที่ เพิ่งผลิตใหม่ไม่ควรไปซื้อยางเก่าเก็บเพราะเมื่อนำมาใช้อาจทำให้ระเบิดได้ ซึ่งเป็นอัน ตราย! พอพูดถึง"ยางระเบิด"ผมก็ขอพูดถึงอาการเตือนก่อนยางระเบิดกันเลย

สำหรับอาการเตือนก่อนที่ยางจะระเบิดก็คือ ขณะที่คุณขับรถอยู่ถ้าปรากฏว่าพวงมาลัย เริ่มสั่นสะเทือนผิดปกติ และบังคังรถได้ยากโดยเฉพาะในขณะเลี้ยว ทั้งๆ ที่ไม่มีปัญหา เรื่องถ่วงล้อ และศูนย์ล้อหน้าก็เป็นปกติ ลูกหมากไม่หลวม ขณะขับมาตอนแรกๆ พวงมาลัย ไม่สั่น อาการนี้เป็นสิ่งบอกเหตุว่ายางรถเริ่มบวมพร้อมที่จะระเบิดแล้ว คุณควรชะลอความเร็ว และจอดรถในบริเวณที่ปลอดภัยลงจากรถ แล้วรีบตรวจ สภาพยางทันที ซึ่งโดยส่วนมากจะพบว่า ยางร้อนจัด และบวมเนื่องจากเสื่อมสภาพนั่นเอง

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ยางระเบิดขณะขับรถมีดังนี้

1. ยางหมดอายุการใช้งาน เช่น แก้มยางมีรอยแตกลายงา บวม ฉีกขาด ดอกยาก หมดสภาพเป็นต้น

2. ขับรถโดยใช้ความเร็วเกินพิกัดยางที่กำหนดไว้

3. ยางเก่าเก็บ

4. เปลี่ยนยางใหม่แต่ใช้จุ๊บเติมลมอันเก่า

5. บรรทุกน้ำหนักเกินค่ากำหนด

6. สูบลมยาง ไม่ถูกต้อง

7. ยางร้อนจัดเนื่องมาจากเบรกติดที่ล้อใดล้อหนึ่งกรณีนี้อาจทำให้เกิดไฟไหม้ ได้อีกด้วย

8. ผู้ขับขี่ไปซื้อยางเปอร์เซ็นต์มาใส่(ยางที่ใช้แล้ว)

9. แก้มยางเสียดสีกับขอบถนน

10. เลือกใช้ยางไม่ถูกขนาด เช่น เอายางรถเก๋งมาใส่รถปิกอัป เป็นต้น

ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาณ ก่อนนำรถออกใช้งานจึงควรตรวจสภาพของยางทุกเส้น ว่าพร้อมที่จะใช้งานหรือไม่ ถ้าพบว่าผิดปกติก็ขอให้แก้ไขเสียก่อนนั่นเอง

ความร้เล็กๆ จากทางเรา Q4CAR

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

10 วิธี... คุยมือถือในรถ



เงียบกันไปพักหนึ่งอีกแล้ว สำหรับการณรงค์ไม่ให้ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ หรือเพียงเพราะเห็นว่ามีอุปกรณ์อย่างเจ้าหูฟังมาช่วย แล้วจะปลอดภัยขึ้นทันตาเห็น

หากลองสังเกตผู้ที่ใช้รถทุกวันนี้ ยังมีภาพการพูดคุยโทรศัพท์ให้สะดุดตากันไม่น้อย ครั้นจะให้เลิกใช้ก็คงจะยากเสียแล้ว จึงนำเอาวิธีการใช้โทรศัพท์มือถือในรถ แบบที่เมืองนอกเมืองนา เขาแนะนำกันไว้ อันนี้หมายถึงประเทศที่ยังไม่ถือว่าผิดกฎหมายเท่านั้น พวกที่ขาดโทรศัพท์ไม่ได้จริงๆ ก็ลองทำตามนี้ดู

1. ตลอดเวลาที่ขับรถต้องมุ่งสมาธิไปที่ถนนเบื้องหน้า ไม่ควรทำกิจกรรมอย่างอื่นไปด้วย ทั้งการกินขนม แต่งหน้า ทาปาก เขียนหรืออ่านหนังสือ หรือแม้กระทั่งการเล่นกับเครื่องเสียง จนนานเกินไป โดยหากจำเป็นต้องคุยโทรศัพท์ ก็ให้หลีกเลี่ยงการสนทนาที่ประเภท ต้องใช้หัวคิดตามไปด้วย หรือประเภทกดดันอารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป คุยกันพอหอมปากหอมคอสั้นๆ ก็พอ

2. หลีกเลี่ยงการพูดคุยโทรศัพท์ ขณะขับรถท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้าย ถ้าจำเป็นต้องคุย ควรจอดรถข้างทางที่ปลอดภัยและสังเกตเห็นได้ง่าย จะได้ไม่เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุ

3. ถ้าไม่สามารถหาที่จอดข้างทางที่ปลอดภัยได้ อย่างน้อยก็ควรขับรถชิดซ้ายเอาไว้ แล้วจึงใช้โทรศัพท์ แต่ต้องไม่ลืมที่จะให้ความสนใจกับเส้นทางข้างหน้ามากกว่าสิ่งอื่นใด หรือถ้าต้องโทรออกก็ใช้ให้คนนั่งข้างๆเป็นคนต่อให้ เพราะการกดเลขหมายโทรศัพท์ จะทำให้ต้องละสายตาจากถนน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมาก

4. ในช่วงการจราจรหนาแน่น หรือในกรณีฉุกเฉิน ที่ไม่สามารถละความสนใจ จากสภาพการจราจรรอบตัวได้ ควรใช้ระบบฝากข้อความสำหรับรับสายแทน แล้วค่อยมาเปิดเช็กข้อความภายหลัง

5. ควรวางโทรศัพท์มือถือไว้ในตำแหน่งที่สะดวกในการใช้งานตลอดเวลาจะได้ ไม่ต้องมาคอยคลำหาโทรศัพท์ขณะขับรถ

6. ถ้าเป็นไปได้ควรใช้หูฟังหรือระบบแฮนด์ฟรี เพราะจะช่วยให้เราไม่ต้องสัมผัส กับโทรศัพท์ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังทำให้มือทั้งสองยังคงอยู่ที่พวงมาลัยได้ตลอดเวลา

7. ทำความคุ้นเคยกับโทรศัพท์ของตัวเองให้มากที่สุด โดยเฉพาะกับปุ่มต่างๆ บนโทรศัพท์ เพื่อเวลาต้องการโทรออกจะได้ไม่ติดขัด หากสามารถกดปุ่มต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยเหลือบไปมองน้อยที่สุด ก็จะช่วยให้สายตายังคงอยู่บนถนน หมายถึงอัตราการเสี่ยงก็จะลดลง

8. ตรวจสอบสภาพของรถยนต์ให้พร้อมกับการเดินทางตลอดเวลา อย่างน้อยก็ให้มั่นใจว่า จะไม่มีอาการผิดปกติ เพราะขณะคุยโทรศัพท์ ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

9. หากประสบอุบัติเหตุเข้าจริงๆ ตั้งสติ ให้ดีแล้วโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ อธิบายตำแหน่งของตัวเองให้ชัดเจน แล้วรอความช่วยเหลือ ในบริเวณที่ปลอดภัย แต่ต้องไม่ไกลจากจุดที่เกิดเหตุมาก

10. พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกครั้งที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย สิ่งสำคัญที่สุดคือ เส้นทางที่อยู่เบื้องหน้า ให้ความสนใจและมีสมาธิตลอดเวลาที่ขับรถ
จะเห็นได้ว่าต่อให้แนะนำกันอย่างไร ก็ยังไม่มีวิธีไหนที่ดูแล้วปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ทางที่ดีที่สุดคือไม่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เกิดอะไรขึ้นมาจะได้ไม่เสียใจภายหลัง

เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่จาก Q4CAR

คอมมอนเรล คือ อะไร



เป็นชื่อเรียกของระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหนึ่งของเครื่องยนต์ดีเซล จริงๆ แล้วก็คือ ระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์นั่นเองแต่เพราะเดิมเครื่องยนต์ดีเซลก็เป็นระบบหัวฉีดทุกตัวอยู่แล้ว ซึ่งเป็นแบบกลไก ถ้าจะเรียกระบบใหม่โดยมีคำว่าหัวฉีด(INJECTION)ผสมอยู่ด้วย ก็คงกลัวว่าจะเกิดความสับสนหรือไม่รู้สึกว่าใหม่จริง จึงนำจุดเด่นเรื่องการมีรางน้ำมันแรงดันสูงร่วมกันมาตั้งเป็นชื่อเรียก
คอมมอนเรล ก็เป็นหนึ่งและเหมือนกับชื่อเรียกระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบอื่น เช่น คาร์บูเรเตอร์ หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ หัวฉีดกลไกหัวฉีดเคเจททรอนิกส์ (ในเบนซ์รุ่นเก่าๆ)ไม่ได้เป็นชื่อของเครื่องยนต์ และไมได้มีใครมีลิขสิทธ์ในชื่อนี้แต่อย่างไร เพราะเป็นชื่อเรียกกลางๆ เหมือนว่าเป็นหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องยนต์ดีเซล แบบมีรางน้ำมันแรงดันสูงร่วมกันเท่านั้น (คอมมอน=ร่วม เรล=ราง) เหมือนๆ กับเรียกว่า เครื่องยนต์เบนซินคาร์บูเรเตอร์, เครื่องยนต์เบนซินหัวฉีด, เครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดกลไก, เครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ (คอมมอนเรล) ไม่มีบริษัทรถยนต์รายใดเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในชื่อนี้
สำหรับบริษัทรถยนต์จะไม่มีต้นตำหรับ ไม่มีพันธ์แท้ เพราะทุกบริษัทรถยนต์ไม่ได้ค้นคิดเอง ล้วนซื้อลิขสิทธิ์และอุปกรณ์จากผู้ชำนาญเฉพาะทางมาทั้งนั้น ไม่มีซูเปอร์คอมมอนเรล ถ้ามีก็คือการเล่นคำทางภาษาในการโฆษณาเท่านั้น ในต่างประเทศไม่มีการใช้คำว่าซูเปอร์กับระบบนี้

ในปัจจุบัน รถปิกอัพในไทยที่ใช้ระบบคอมมอนเรล ยังด้อยกว่ารถเก๋งในยุโรปนับสิบรุ่นที่มีระบบการทำงานเหนือกว่า และผ่านไอเสียยูโรสเต็ป 4 ดังนั้นถ้ารถปิกอัพในไทยเป็นซูเปอร์คอมมอนเรล รถเก๋งในยุโรปเหล่านั้นก็ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาเรียก และไม่พบว่ามีรายใดใช้คำว่าซูเปอร์นำหน้า
การใช้คำว่าซูเปอร์คอมมอนเรล จึงเป็นลูกเล่นในการโฆษณาสร้างความรู้สึกให้เหนือกว่าเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับทางวิศวกรรมเลย ผู้ผลิตอุปกรณ์และระบบคอมมอนเรลในปัจจุบันมีไม่กี่รายในโลก เช่น บ็อช, นิปปอน เดนโซ, เดลฟาย, ซีเมนส์ ฯลฯ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่คนไทยมีโอกาสได้ใช้รถปิกอัพเครื่องยนต์คอมมอนเรล แม้จะทยอยเปลี่ยนกันอย่างช้าๆ บางยี่ห้อออกรุ่นที่หวังจะสร้างภาพพจน์ที่ดีออกมาก่อน แต่รุ่นที่ขายดีจริงๆ ยังขายรุ่นเก่าอยู่ แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของคนไทย และน่าจะมีความเปลี่ยนแปลงในทุกยี่ห้อไปในทางที่ดีขึ้น
ความรู้เล็ก ๆ จากทางเรา Q4CAR

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ระวังโรคที่อาจมากับ "รถติด" นาน ๆ



ในชีวิตประจำวันของเราบางครั้งเราอาจจะต้องนั่งอยู่ในรถนาน ๆ ซึ่งการนั่งโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนนาน ๆ นี่เองอาจะเป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ นา ๆ ทีเราอาจจะไม่คาดคิด ซึ่งกรุงเทพของเราก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีรถติดที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ซึ่งหากมีฝนตก หรือน้ำท่วมแล้วอาจจะใช้เวลาอยู่บนถนนถึงครึ่่งค่อนวันกันเลยทีเดียว ซึ่งหากเป็นแบบนี้บ่อย ๆ จะทำให้เรามีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นได้เช่น เครียด ปวดคอ ปวดหลัง ตาล้า กระเพาะปัสวะอักเสบและอื่น ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หลายคนที่ขับรถบ่อยคงจะเป็นโรคนี้กันมาก ด้วยส่วนหนึ่งที่ว่าไม่เป็นไรเดี่ยวก็ถึง ประกอบกับห้องน้ำตามปั้มบ้านเราไม่คนเยอะก็ไม่สะอาดและยิ่งกับคนเมืองแล้วจะ หาปั้มดีๆก็ยากเย็นแสนเข็ญ

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบอั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องหมายถึงเฉพาะกับเรื่องราวของรถติดเท่านั้น คุณกำลังเสี่ยงเป็นโรคนี้มากที่สุด แต่ก็มีวิธีแก้อยู่บ้างเริ่มจากไม่ควรอั้นปัสสาวะ ถ้ารู้สึกว่ากำลังจะต้องไปปฏิบัติภารกิจควรทำก่อนที่จะขึ้นรถ แล้วที่สำคัญที่สุดควรดื่มน้ำมากๆไปพร้อมกันด้วยขณะขับขี่ เนื่องจากปัสสาวะเรามีความเข้มของของเสียต่างๆ มากการดื่มน้ำจะช่วยเจือจางแม้จะต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นก็ตาม แต่ถ้าพบว่ามีอาการปัสสาวะสะดุดหรือรู้สึกไม่สุดควรพบแพทย์ทันที

โรคเครียด การจราจรที่ติดขัด ย่อมส่งผลต่อสุขภาพจิตและนั่นเป็นที่มาของโรคเครียด ..โรคนี้เป็นอาการที่มากจากภาวะทางจิตใจแลอารมณ์ของเรา ในการที่ทำอะไรแล้วรู้สึกกดดัน ซึ่ง "รถติด" ถือเป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน อาการของโรคเครียดนั้น สามรถก่อเป็นปัญหาอื่นๆตามมาได้ เพราะเป็นโรคที่มีผลทั้งทางร่างกายและจิตใจ สามารถนำไปสู่การเป็นโรคจิตอ่อนๆได้ ซึ่งทางป้องกันในกรณีรถติดคือ เปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่หรือหาเส้นทางใหม่ ในการหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด

ตาล้าหรือเมื่อยตา การขับรถส่วนที่สำคัญคงไม่พ้นในเรื่องของการใช้สายตาในการสอดส่ายไปรอบทิศ ทางระแวดระวังความปลอดภัย และ การใช้สายตามากๆ ก็ย่อมมีปัญหาตามมา เพราะนอกจากการใช้สายตาในการขับขี่แล้ว ยังใช้มันทำงานด้วย เรียกว่าแทบจะไม่มีเวลาใดเลยที่เราไม่ใช้สายตาในการทำงาน ด้วยเหตุนี้เวลาที่เราขับขี่รถเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะในยามค่ำคืน เราอาจจะเกิดอาการเมื่อยตาได้ง่ากว่า เนื่องจากม่านตาต้องขยาย และสามารถนำไปการหลับในได้ง่ายกว่าในยามขับขี่ แม้ฟังดูอาการเมื่อยตาจะไม่มีวิธีป้องกันได้ แต่สามารถบรรเทาได้ เช่นการพักสายตาเลิกจ้องหรือเพ่งต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นเวลานานๆ และที่สำคัญ สีเขียวช่วยให้ตาเรารู้สึกผ่อนคลายได้มาก ถ้าหากรู้สึกเมื่อยตา ลองหัวมองต้นไม้ใบหญ้าบ้างก็ได้ ถ้ามี ..

หมอนรองกระดูกเสื่อม/ทับเส้นประสาท การนั่งขับรถเป็นต้นเหตุหนึ่งที่สำคัญ ที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าอาจเป็นต้นเหตุของโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม และ มันยังนำมาสู่โรคร้ายที่สำคัญอย่างหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท สาเหตุของการเกิดโรคนี้นั้น ก็มาจากการที่เรานั่งยู่ในท่านั่งที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานานๆ หรือไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถเป็นระยะเวลานานๆ เช่นกัน ดังนั้นหากต้องนั่งขับรถเป็นระยะเวลานาน ควรทดแทนด้วยการบริหารหรือออกกำลังกายโดนเฉพาะช่วงหลัง จะช่วยได้พอสมควร ซึ่งหากพบอาการปวดหลังเป็นอย่างเรื้อรังควรรีบปรึกษาแพทย์ในทันที

ปวดคอ อาการปวดคอเป็นอาการที่อาจจะฟังดูผิวเผิน แต่ถ้ามองลึกไปจริงๆ มันอาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันในระหว่างการขับขี่ ส่วนหนึ่งก็สืบเนื่องจากการนั่งท่าเดิมติดต่อกันนานๆ และ ที่สำคัญบางคนยังมีท่านั่นไม่ถูกต้องเป็นแรงเสริมของอาการนี้ด้วย อาการปวดคอนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาการ กล้ามเนื้อคออักเสบ ซึ่งมาจากการไม่ได้ขยับหรือเปลี่ยนท่าทางอิริยาบถเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งอาการนี้สามารถรักษาได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่มันก็ยังสามารถป้องกันได้จากการบริหาต้นคอเป็นประจำ และในระหว่างขับขี่ถ้ามีโอกาส แต่ทั้งนี้ไม่ควรหันเอี้ยวอย่างกะทันหัน เนื่องอาจจะทำให้ผิดท่าและอาจจะเป็นอาการบาดเจ็บเรื้อรังได้ สิ่งที่สำคัญที่สามารถป้องกันได้คือหัวหมอนเบาะนั่งที่จะช่วยให้เรานั่งใน ท่าที่ถูกต้อง โดยหัวหมอนเบาะรถยนต์ควรปรับให้อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางศีรษะ ทั้งหมดที่กล่าวมา นี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของหลากโรครุมเร้าชีวิตของคนขับรถในเมืองที่ปัจจุบัน การจราจรมีความหนาแน่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าสุขภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นเราควรที่จะหมั่นดูแลตัวเองไปพร้อมกันด้วย
ด้วยความห่วงใยจากทางเรา Q4CAR

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การดูแลรถยนต์ที่ติดตั้งเทอร์โบ



เราจะเห็นได้ว่ามีเรื่องราวหรือปัญหาหลายต่อหลายเรื่องในการใช้งานรถยนต์ที่ยังวคงถกเถียงกันไม่รู้จักจบสิ้นเนื่องมากแต่ละคมก็มีความคิดเห็นต่างกัน แต่จะดีกว่ามั้ย ....ถ้าจะลองฟังความคิดเห็นและเหตุผลของคนอื่นดูบ้าง อย่างน้อยก็ทำให้รู้ถึงความคิดของคนอื่น เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับความคิดของตัวเองได้

รถที่ต้องติดเทอร์โบ...มาจากโรงงาน
รถยนต์ทึ่จำหน่ายอยู่ในบ้านเราปัจจุบันนี้มีมากหลายรูปแบบ หลาย ๆ คายผู้ผลิตก็ได้ทำการค้นคว้าพัฒนาระบบต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ให้ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่า ๆ และมีการนำรถยนต์ที่เครื่องยนต์ติดตั้งระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์มาจำหน่ายมากขึ้นกว่าเดิมด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ต้องการรถที่มีสมรรถนะเหนือกว่าเครื่องยนต์ปกติที่ไม่มีระบบอัดอากาศ

ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเครื่องยนต์เบ็นซินเท่านั้น แม้แต่เครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบันก็เริ่มนำระบบอัดอากาศหรือ “เทอร์โบชาร์จ” มาใช้มากขึ้น ด้วยเหตุผลที่จะหลีกหนี “ความอืด” และเนื่องจากการนำระบบอัดอากาศมาใช้ในเครื่องยนต์ดีเซลจะทำให้การเผาไหม้ของเครื่องยนต์หมดจดมากขึ้นกว่าเดิมเป็นการลดมลภาวะไปได้อีกทางหนึ่ง

เล่นของแรงต้องดูแลเป็น

สำหรับรถยนต์ที่ติดตั้งเทอร์โบชาร์จเจอร์มทาจากโรงงานซึ่งมัจำหน่ายในบ้านเราก็จะมีทั้ง รถสปอร์ต และซีดานจากญี่ปุ่น และรถอีกหลายรูปแบบของทางค่ายรถยุโรปให้เลือก แน่นอนว่าท่านที่ตัดาฃสินใจเลือกซื้อรถเครื่องยนต์เทอร์โบก็เพราะต้องการประสิทธิภาพที่หนือกว่าเครื่องยนต์ปกติ แต่ควรจะรู้ด้วยว่าเครื่องยนต์ที่มีระบบอัดอากาศนั้นจะต้องการความเอาใจใส่และดูแลรักษามากกว่าเครื่องยนต์ปกติ ไม่ใช่แค่ทราบว่าขับรถมีเทอร์โบแล้วเท่อย่าบอกใครเพียงอย่างเดียว

สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดเทอร์โบมาจากโรงงานส่วนมากจะได้รับการปรับปรุงชิ้นส่วนภายในเครื่องยนตืหลายต่อหลายส่วนเพื่อให้สามารถรับกับการทำงานของเทอร์โบชาร์จเจอร์ได้ ทั้งลูกสูบ และฝาสูบจะต้องมีความแข็งแรงมากกว่าเดิม และยังมีพวกโครงสร้างรูปแบบของท่อร่วมไอดี การทนความร้อนของท่อร่วมไอเสีย เหล่านี้จะต้อง “ดีกว่า” และ “ทนกว่า” เครื่อยนตืปกติทั้งสิ้น โดยเฉพาะระบบระบายความร้อนของน้ำและน้ำมันเครื่องจะได้รับการออกแบบให้ดีกว่าเครื่องยนต์ปกติเพื่อให้เครื่องยนต์มีความทนทานไม่ต่างกับเครื่องยนต์ธรรมดา แต่เครื่องยนต์จากโรงงานเหล่านี้จะได้รับการออกแบบมาอย่างไร ก็ยังมีอักจุดหนึ่งที่บางคนมองข้ามไป เพราะคิดว่าหากจำเป็นทางโรงงานก็คงมีการติดตั้งมาให้ด้วยแล้ว นั่นคือ “เทอร์โบไทเมอร์” (Turbo timer)

เทอร์โบไทเมอร์ คืออะไร
หากสังเกตท่านก็จะเห็นว่ารถที่มีเทอร์โบติดมาจากโรงงานนี้ไม่มีรุ่นไหนเลยที่มีระบบ “วงเวลาการดับเครื่องยนต์” หรือเจ้า ”เทอร์โบไทเมอร์” ที่ว่านี้มาให้ เราลองคิดดูความสำคัญของมันกันก่อนดีกว่า

หน้าที่เทอร์โบไทเมอร์คือจะเป็นตัวถ่วงเวลาการดับของเครื่องยนต์ โดยเมื่อเราปิดสวิทช์ดับเครื่องยนต์แล้วเทอร์โบไทเมอร์จะเริ่มทำงาน เทอร์โบไทเมอร์จะติดตั้งไว้ที่สวิทช์กุญแจที่สายไฟจากขั้เวที่ใช้ดับเครื่องยนต์มาเข้าตัวเทอร์โบไทเมอร์ เมื่อเราดับเครื่องยนต์ เจ้าเทอร์โบไทเมอร์ก็จะทำงานต่อทำให้เครื่องยังไม่ดับ ส่วนจะดับเมื่อไหร่ก็แล้วแต่เวลาที่เราตั้งไว้ว่าจะให้ดับหลังจากที่เราบิดสวิทช์ดับเครื่องแล้วกที่วินาที

เหตุผลที่จะต้องมีการหน่วงเวลาในการดับเครื่องยนต์นั้นก็เพราะว่าในการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีเทอร์โบไทเมอร์จะมีน้ำมันสูบฉีดไปหล่อลื่นยังส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์อย่างทั่วถึง เพื่อระบายความร้อนและลดการสึกหรอของชิ้นส่วนต่าง ๆของเครื่องยนต์ ส่วนที่มีความเร็วรอบสูงที่สุดในเครื่งยนต์เทอร์โบก็เห็นจะเป็นตัวเทอร์โบนี่เองแหละที่หมุนเร็วกว่าเพื่อน และที่ตัวเทอร์โบนี้ก็จะมีน้ำมันไปหล่อลื่นที่แกนเทอร์โบเหมือนกันเวลาเครื่องยนต์ทำงาน แต่เมื่อเราดับเครื่องยนต์ ระบบต่าง ๆ ของเครื่องจะหยุดการทำงาน แต่เครื่องยนต์จะหยุดการทำงานทันทีซึ่งก็รวมทั้งระบบปั๊มน้ำมันหล่อลื่นด้วย

แต่ก็ยังมีชิ้นส่วนอยู่อีกชิ้นหนึ่งที่ยังหมุนอยู่ นั่นคือ “เทอร์โบน์” (ใบกังหัน) ของตัวเทอร์โบ ถ้ดับเครื่องทันทีหลังจากขับด้วยความเร็วรอบสูงมาก เทอร์โบร์ซึ่งเป็นชิ้นเดียวกับแกนของเทอร์โบที่หมุนอยู่ก็จะยังหมุนไปอีกแต่เป็นการหมุนชนิดที่ไม่มีน้ำมันหล่อลื่นซึ่งจะทำให้เกิดการสึกหรออย่างมาก นอกจากนี้ตัวเทอร์โบเองก็ยังจะมีความร้อนสูงอยู่จึงต้องมีการระบายความร้อนให้อุณหภูมิลดลงก่อนรวมทั้งตัวเครื่องยนต์เทอร์โบหลังจากใช้งานมาด้วยความเร็วรอบสูงจะเกิดความร้อนสูงกว่าเครื่องยนต์ธรรมดา จึงไม่ควรดับเครื่องในทันที ที่จอดรถ ควรจะปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานที่รอบเดินเบาสักพัก เพื่อให้อุณหภูมิของเครื่องยนต์ลดลงมาหน่อยและช่วยหล่อลื่นแกนเทอร์โบไปในตัวด้วยแล้วจึงค่อยดับเครื่อง เจ้า “เทอร์โบไทเมอร์” นี่แหละคืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกทำให้ไม่ต้องมานั่งรอเวลาดับเครื่องและ “กันลืม” ไปด้วยในตัว

ข้อควรรระวังในการรักษาเครื่องยนต์เทอร์โบ

ถ้าท่านเคยนำคู่มือประจำรถมาเปิดอ่านดูบ้างจะพบว่ามีข้อความเตือนและข้อแนะนำในการปฏิบัติต่างๆ เกี่ยวกับการใช้งานเครื่องยนต์เทอร์โบอยู่มากมาย ซึ่งก็ไม่ได้เข้าใจยากเย็นอะไร การปฏิบัติตามที่คู่มือแนะนำมาจะเป็นการยืดอายุการใช้งานของตัวเทอร์โบและครื่องยนต์ด้วย ข้อแนะนำดังกล่าวก็เช่นหลังจากที่สตาร์ทเครื่งยนต์หใหม่ๆ ไม่ควรเร่งเครื่องยนต์รอบสูงในทันที เพราะน้ำมันเครี่องจะยังไม่ขึ้นไปเลี้ยงที่แกนเทอร์โบ จะทำให้เกิดการสึกหรอสูง ไส้กรองอากาศมีความสำคัญมากต่อประสิทธิภาพของการทำงานของเครื่องยนต์เทอร์โบ ควรดูแลให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอท่อทางอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์จากกรองอากาศมาที่ตัวเทอร์โบ คสรดูแลให้อยู่ในสภาพดี ไม่ขาด ไดม่รั่วจนทำให้อากาศที่ไม่ผ่านจกรองสามารถแทรกเข้ามาได้ เนื่องจากฝุ่นละอองเป็นศัตรูตัวร้ายของเทอร์โบและครื่องยนต์ น้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่องที่เสื่อมสภาพแล้วและสิ่งสกปรกที่ปนอยู่ในน้ำมันเครื่องจะมีผลต่การใช้น้ำมันเครื่องที่ระบุให้ใช้กับเครื่องยนตืเทอร์โบจะต้องสามารถทนความร้อนได้ดีกว่าน้ำมันเครื่องปกติ และสุดท้ายอย่างที่บอกไปแล้วคือควรมีการ “วอร์มดาวน์” เครื่องยนต์ก่อนดับ หลังจากใช้งานที่ความเร็วรอบสูงมา โดยการปล่อบให้เดินเบา 2-5 นาที และไม่ควรเร่งเครื่องยนต์ก่อน ดับเครื่องด้วยนะครับ

ความรู้เล็ก ๆ จากทางเรา Q4CAR

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เรื่องน่ารู้ของเกียร์อัตโนมัติ


ก่อนอื่นก็มาทีความรู้จักกับเกียร์อัตโนมัติกันซะก่อน เพราะยังมีอีกหลายท่านที่เคยแต่เพียง “เห็น” ยังไม่เคยทำความคุ้นเคยหรือสัมผัสกันอย่างจริงจังเสียที แบบนั้นจัดว่ารู้จักว่าเป็นเกียร์อัตโนมัติเฉย ๆ แต่ยังไม่รู้จักอย่างลึกซึ้ง

ก่อนที่จะขับก็ควรมาศึกษารายละเอียดกันก่อน หลายคนอาจจะคิดว่าไม่จำเป็นก็ในเมื่อเขาทำมาให้ขับง่ายสะดวกสบายแล้วทำไมต้องมีการศึกษาอะไรอีก ก็เป็นเพียงความเข้าใจที่ถูกต้องเพียงบางส่วนที่คิดว่าเพียงแต่ขยับตำแหน่งคันเกียร์มาที่ตัว D แล้วก็เหยียบคันเร่งเท่านั้นก็ขับรถไปไหน ๆ ได้แล้ว ผู้ที่ขับขี่เป็นแต่ในลักษณะนี้ล่ะครับที่จัดอยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วง เพราะจะมีอันตรายตามมาอีกหลายอย่าง เช่น การขับรถในสภาพทางที่เป็นภูเขาสูงหรือที่เคยมีข่าวรถวิ่งไปทับเจ้าของจนตายตอนเปิดประตูบ้านก็เข้าข่ายที่ “รู้..แต่ยังรู้ไม่หมด” นั่นเอง

หลักการทำงานแบบย่อ ๆ ของเกียร์อัตโนมัติ ก็คือเกียร์ที่ผลิตมาให้ขับรถได้ง่ายสะดวกสบายขึ้น คือ รถจะมีการเปลี่ยนเกียร์ของมันเองตอนเดินหน้าด้วยการขยับเข้าเกียร์เพียงครั้งเดียว และไม่ต้องเหยียบคลัทซ์เพราะไม่มีให้เหยียบ การขับขึ่จึงใช้เพียงเท้าขวาเพียงข้างเดียวใช้เหยียบคันเร่งกับเบรคเท่านั้น ส่วนเท้าซ้ายไม่ต้องใช้ที่เป็นเช่นนี้เพราะการออกแบบระบบการทำงานของเกียร์อัตโนมัติที่แตกต่างจากเกียร์ธรรมดา โดยชุดคลัทซ์ได้เปลี่ยนมาใช้ตัว “ทอร์คคอนเวอร์เตอร์” ช่วยในการตัดต่อการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปที่เกียร์แทน ซึ่งเท่ากับเป็นคลัทซ์อัตโนมัติที่เราไม่ต้องเหยียบเพราะมันจะทำการจับตัวของมันเองตามรอบเครื่องที่เพิ่มขึ้น โดยใช้ของเหลวเป็นตัวส่งกำลังด้วยความหนืด หลักการก็เหมือนกับมีพัดลม 2 อัน อันหนึ่งเปิดไว้เอามาเป่าให้อีกอันหนึ่งหมุนตามทำให้เกิดการส่งกำลังได้ทำให้สามารถเข้าเกียร์ได้โดยเครื่องไม่ดับขณะเครื่องเดินเบาและรถจอดนิ่งเหยียบเบรคไว้ ส่วนระบบเกียร์เมื่อเข้าเกียร์ให้รถขับเคลื่อนไปแล้ว การทำงานจะเป็นไปโดยอัตโนมัติคือ การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จะมีการตั้งโปรแกรมการทำงานให้เหมาะสมกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ เหมือนตอนที่เราเข้าเกียร์ด้วยความรู้สึกของเรา แต่ในเกียร์อัตโนมัติใช้กลไกต่าง ๆ มาทำงานแทน โดยแต่เดิมจะมีแต่ระบบกลไกโดยใช้แรงดันในระบบน้ำมันเกียร์ซึ่งมีปั๊มสร้างแรงดันเช่นเดียวกับระบบไฮดรอลิก ซึ่งแรงดันที่เพิ่มขึ้นตามความเร็วรอบเครื่องยนต์จะถูกนำมาใช้ในการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ ภายในเกียร์อัตโนมัติจะใช้เกียร์แบบเพลนเนตทารี่เกียร์ ซึ่งเป็นชุดเกียร์ที่ออกแบบให้เฟืองของเพลาขับทดอยู่กับเฟืองของเพลาตามภายในเฟืองวงแหวน ทำให้สามารถเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ได้ง่ายเพียงแต่ล็อกเฟืองชุดใดชุดหนึ่งด้วยการจับตัวของแผ่นคลัทซ์แบบเปียกซ้อนกันหลาย ๆ แผ่น ทำให้การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ทำได้นุ่มนวลเมื่อทำงานร่วมกับทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ยิ่งมาในยุคที่มีระบบอิเล็คทรอนิคส์เข้ามาช่วยในการทำงานทำให้เกียร์อัตโนมัติมีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นมากโดยเฉพาะจังหวะการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ที่ทำได้นุ่มนวลจนแทบไม่รู้สึก และจังหวะการทำงานต่าง ๆ ที่ฉับไวยิ่งขึ้นมาก มีโปรแกรมการทำงานมากยิ่งขึ้นกว่าในระบบเก่า ซึ่งบางทีก็เรียกกันว่าเกียร์ไฟฟ้าเพราะจะมีกล่องควบคุมการทำงานมาต่างหากในรถบางรุ่น

ตำแหน่งเกียร์”
เมื่อทราบหลักการทำงานแบบย่อ ๆ แล้วก็มาดูกันที่ตำแหน่งเกียร์ซึ่งจะมีบอกไว้ที่ตรงโคนของคันเกียร์ จะยกตัวอย่างเฉพาะในรถรุ่นปัจจุบันที่เกียร์อัตโนมัติจะมี 4 สปีดแล้ว นอกจากนี้ยังมีรถนั่งรุ่นใหม่ ๆ ที่ได้มีเพิ่มเป็น 5 เกียร์สปีดแล้ว อย่างเช่น BMW ที่ราคาหลายล้านบาท ตำแหน่งเกียร์ 4 สปีดที่พบทั่ว ๆ ไป จะมีเขียนแสดงไว้นั้นพอจะอธิบายได้ดังนี้

ตัว P เป็นตำแหน่งที่ใช้ในการจอดรถ ซึ่งย่อมาจากภาษาอังกฤษ Parking แปลว่าจอดรถ ซึ่งจังหวะนี้เพลากลางจะถูกล็อกทำให้รถเคลื่อนตัวไม่ได้ ทุกครั้งที่จอดรถในทางชันเพื่อป้องกันรถไหลควรใช้ร่วมกับเบรคมือ แต่หากไปจอดตามห้างสรรพสินค้าหรือลานจอดรถไม่ควรใช้เพราะหากไปขวางทางผู้อื่นแล้วไม่สามารถเข็นรถได้ บรรพบุรุษจะโดนกล่าวถึงในทางไม่ดี ประโยชน์อีกอย่างก็สามารถติดเครื่องได้ในตำแหน่งนี้เพราะจะเป็นเกียร์ว่าง แต่เพลากลางยังถูกล็อคไม่ให้รถไหล มีประโยชน์ตอนจอดในทางลาดชันทำให้ออกรถได้ง่ายขึ้นเมื่อผู้ขับเหยียบเบรคและเปลี่ยนเกียร์มาในตำแหน่งให้รถขับเคลื่อนต่อไป

ต่อมาก็เป็นตำแหน่ง R ซึ่งย่อมาจาก Reverse อันนี้เป็นเกียร์ถอยหลัง การขยับคันเกียร์จากตำแหน่งอื่นมาให้ตำแหน่ง R นี้ต้องกดปุ่มล็อคคันเกียร์นั้นจะอยู่ด้านข้างของหัวเกียร์ในรถทุกรุ่นเพื่อกันการลืมซึ่งจะทำให้ระบบเกียร์พังและกันการเข้าเกียร์ผิดในกรณีที่ไม่ได้เหลือบตามามองสำหรับการขับปกติและผู้ชำนาญแล้ว

ตำแหน่ง N เป็นเกียร์ว่าง ซึ่งภาษาอังกฤษเขียนว่า Natural ตำแหน่งนี้จะเหมือนกับเกียร์ว่างในรถเกียร์ธรรมดาที่สามารถเข็นรถได้เวลาจอดตามลานจอดรถและขวางคันอื่น ๆ อยู่ก็อย่าลืมใช้ตำแหน่งนี้เพื่อให้ยามหรือเจ้าของรถคันอื่นจะได้เข็นเลื่อนรถให้พ้นจากการกีดขวางได้เวลารถจอดติดไฟแดงก็ใช้ได้

ตำแหน่ง D หรือ Drive เป็นตำแหน่งที่ให้รถขับเคลื่อนไปข้างหน้า โดยเกียร์ทุกเกียร์จะทำงานเปลี่ยนตำแหน่งครบทั้งหมด ตามความเร็วที่ตั้งโปรแกรมไว้ในการขับขี่รถทั่ว ๆ ไปบนถนนธรรมดาจะใช้ตำแหน่ง D นี้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งสะดวกสบายมาก

ตำแหน่ง 2 หมายถึงเกียร์จะทำงานเพียง 2 เกียร์ คือ เกียร์ 1 และ 2 เท่านั้น ซึ่งเป็นการถูกล็อคเอาไว้ในตำแหน่งนี้เพื่อให้ใช้ตอนที่ต้องการกำลังในการขับเคลื่อนสูง ๆ เช่น การขับรถในทางที่เป็นภูเขาสูงชันมาก ๆ ซึ่งการล็อคเกียร์ไว้ให้ทำงานแค่ 2 เกียร์นี้จะช่วยในตอนลงจากที่สูงซึ่งจะใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรคผ่านอัตราทดเกียร์ที่สูงนี้ได้เพื่อความปลอดภัยโดยเป็นการช่วยผ่อนแรงการทำงานของระบบเบรคกันเบรคร้อนซึ่งทำให้เกิดอาการเบรคหายจากการเกิดฟองอากาศในน้ำมันเบรคที่เดือนเป็นไอ

ตำแหน่ง 1 อันนี้ก็เป็นการทำงานในเกียร์ 1 เพียงเกียร์เดียว ซึ่งเป็นการขับขึ้นทางสูงชันที่ต้องการแรงฉุดลากมากกว่าในเกียร์ตำแหน่ง 2 สังเกตง่าย ๆ ว่าจะใช้เมื่อไรดูได้จากเมื่อใช้ตำแหน่ง 2 พอรถวิ่งไปถึงความเร็วรอบเครื่องที่เกียร์เปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 รถจะไม่มีกำลังทำให้เกียร์เปลี่ยนมาที่ 1 อีกจะทำให้เสียจังหวะเราก็จัดการเปลี่ยนมาล็อกไว้ที่เกียร์ 1 ซะเลยจะไปได้ดีกว่า รวมทั้งตอนลงทางชันที่ชันมากแบบค่อย ๆ ย่องลงมาเกียร์ 1 จะช่วยในการหน่วงด้วยเครื่องยนต์ได้ดี ในตำแหน่ง 1 นี้ จะช่วยในการหน่วงด้วยเครื่องยนต์ได้ดี ในตำแหน่ง 1 นี้ รถบางรุ่นจะใช้ตัวอักษร L แทนซึ่งหมายถึงตำแหน่งเกียร์ที่ต่ำสุด

ปุ่มเลือกโปรแกรมต่าง ๆ
นอกจากตำแหน่งเกียร์ต่าง ๆ ให้เลือกใช้ก็จะมีปุ่มเลือกโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพของระบบเกียร์อัตโนมัตินี้อีก อันแรกที่มีในรถรุ่นต่าง ๆ ก็คือ ปุ่ม OD (Over Drive) จะมีให้เลือก 2 ตำแหน่งคือ On กับ Off เมื่อกดปุ่ม OD อยู่ในตำแหน่ง On และคันเกียร์อยู่ในตำแหน่ง D โปรแกรมนี้เกียร์จะทำงานครบทั้ง 4 เกียร์ เปรียบเสมือนเป็นการเลือกใช้เกียร์จะทำงานครบทั้ง 4 เกียร์ กับไม่ใช้นั่นเองซึ่งเหตุผลก็คือ เมื่อต้องการขับรถในทางสูงชันแต่ไม่มากเหมือนในการใช้ตำแหน่ง 2 เราก็ใช้เพียงเกียร์ 3 โดยไม่ต้องเลื่อนคันเกียร์เพียงแต่ใช้ปุ่ม OD ซึ่งช่วยให้สะดวกขึ้นมากรวมทั้งในกรณีต้องการเชนจ์เกียร์เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค (เอนจิ้นเบรค) เช่น ขณะถนนลื่นหรือลงจากที่สูงก็ใช้ได้

นอกจำโปรแกรมทั่ว ๆ ไปในรถบางรุ่น โดยเฉพาะพวกรถสปอร์ตหรือนั่งจะมีปุ่มที่เขียนว่า Sport-Comfort ปุ่มต่อมาอันนี้จะไม่อยู่ที่หัวเกียร์ ส่วนมากจะอยู่ที่แผงหน้าปัทม์หรือบริเวณคอนโซลข้าง ๆ คันเกียร์ในรถบางรุ่นจะใช้ Sport Economy โปรแกรมนี้ออกแบบมาให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ช้าลงในโปรแกรม Sport หมายถึงจะลากเกียร์ได้ยาวขึ้นและเกียร์จะเปลี่ยนที่รอบเครื่องยนต์สูงขึ้นกว่าเดิมทำให้ได้อัตราเร่งที่ดีขึ้น ต่างจากในโปรแกรม Comfort หรือ Economy ซึ่งเน้นที่ความนุ่มนวลและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เกียร์จะเปลี่ยนตั้งแต่ความเร็วรอบเครื่องยนต์รอบที่ต่ำกว่าเหมือนตอนที่เราขับรถเกียร์ธรรมดาตอนที่ไม่รีบร้อนนั่นเอง ทำให้ผู้โดยารนั่งสบายไม่เกิดการกระชากที่รุนแรงเหมือนนั่งรถแข่ง

เราได้ทราบเรื่องการทำงานและโปรแกรมการสิ่งให้เกียร์ทำงานได้ผู้ขับขี่ในแบบต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับการขับขี่ในลักษณะต่าง ๆ เช่น การขับขี่ในสภาพทางที่เป็นภูเขาสูงหรือต้องการอัตราเร่งที่ดีกว่าปกติก็สามารถลากเกียร์ให้ยาวขึ้นในโปรแกรม Sport การใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรคขณะลงจากทางสูงชัน ผ่านตำแหน่งเกียร์ที่ถูกต้อง ซึ่งท่านใดที่ยังไม่เข้าใจก็ลองย้อนกลับไปอ่านอีกครั้งหรือสองครั้งเพราะเป็นพื้นฐานความรู้ที่น่าสนใจสำหรับผู้ไม่คุ้นเคย

เมื่อคู่ได้พูดถึงโปรแกรมการทำให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ช้างลงเพื่อให้ลากเกียร์ได้ยาวขึ้น เพื่อให้มีการเปลี่ยนเกียร์ในความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นกว่าโปรแกรมธรรมดาซึ่งจะทำให้อัตราเร่งของรถดีขึ้น ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวจะเลือกใช้ได้โดยการกดปุ่ม ซึ่งมีเขียนบอกไว้ในแบบต่าง ๆ เช่น Sport-Comfort และ Sport-Economay รวมทั้งอีกตัวหนึ่งคือคำว่า Power ซึ่งเมื่อครู่ไม่ได้บอกไว้ เผื่อไปเจอจะสงสัยว่าเป็นปุ่มอะไรเอาไว้กดทำไม เพราะในรถบางรุ่นจะมีเพียงปุ่มกดและคำว่า Power นี้เพียงอย่างเดียว ในลักษณะ On-Off หรือเปิด-ปิด คือ ใช้โปรแกรม Power กับไม่ใช้เท่านั้น

เกียร์ธรรมดาในเกียร์อัตโนมัติ

โปรแกรมต่อมาที่เห็นในรถบางรุ่นส่วนมากจะเป็นรถสปอร์ตหรือสปอร์ตซีดาน หรือรถที่มีสมรรถนะค่อนข้างสูง จะมีปุ่มกดที่เขียนว่า Hold หรือ Auto Manual เพื่อการขับขี่ในลักษณะของเกียร์ธรรมดาเพื่อความคล่องตัวยิ่งขึ้น จึงได้มีโปรแกรมนี้เพิ่มขึ้นมา โดยตำแหน่ง Hold หรือ Manual จะมีความหมายเดียวกันคือเป็นการล็อคเกียร์ในตำแหน่งต่าง ๆ ไว้ให้เปลี่ยนตามจังหวะการโยกคันเกียร์ของผู้ขับแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ว่ารถจะวิ่งในความเร็วเท่าไรตำแหน่งเกียร์จะเป็นไปตามตำแหน่งของคันเกียร์ตลอดเวลาทำให้ผู้ขับสามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการคือ ต้องการลากรอบเครื่องยนต์ให้สูง ๆ แล้วค่อยเปลี่ยนเกียร์เพื่ออัตราเร่งที่ดีหรือต่อเนื่องยิ่งกว่าในโปรแกรม Sport หรือ Power หรือต้องการเชนจ์เกียร์ลงมาในเกียร์ต่ำเพื่อการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรคได้ตามต้องการ เช่นเดียวกับการขับรถเกียร์ธรรมดาซึ่งดีกว่าตรงไม่ต้องเหยียบคลัทช์ทำให้มีความคล่องตัวและสนุกกว่า และจะทำได้เฉพาะรถที่มีโปรแกรมนี้เท่านั้นหากเป็นรุ่นที่ไม่มีปุ่ม Hold หรือ Manual ให้เลือกการขับขี่จะทำได้เพียงการเข้าเกียร์ในตำแหน่งต่าง ๆ ด้วยผู้ขับเช่นกัน แต่จังหวะการเปลี่ยนเกียร์อาจจะไม่เปลี่ยนตามการโยกคันเกียร์ในทันทีทันใด เช่น เมื่อต้องการเชนจ์เกียร์เพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยเบรคในขณะที่เครื่องยนต์มีความเร็วรอบสูง ๆ เกียร์จะไม่ยอมเปลี่ยนตามเพราะในโปรแกรมของภายในตัวเกียร์ได้ตั้งให้มีการเปลี่ยนเกียร์ตามสภาพความเร็วรอบเครื่องยนต์และแรงบิดจากเพลากลาง เมื่อรอบเครื่องยนต์ยังสูงมันจึงไม่ยอมเปลี่ยนเพราะรับคำสั่งมาว่าในรอบขนาดนี้มันจะต้องเปลี่ยนเกียร์ให้สูงขึ้น เมื่อเราโยกคันเกียร์มาในเกียร์ต่ำก็เลยยังไม่เปลี่ยนตำแหน่งตามลงมาจนกว่ารอบเครื่องยนต์จะลดลง ซึ่งต้องเสียเวลาไปชั่วระยะอึดใจตั้งแต่ถอนคันเร่ง

การขับรถลงภูเขาควรระวังไว้เช่นกันในกรณีนี้อย่าปล่อยให้รถไหลในความเร็วสูง ๆ แล้วมาเชนจ์เกียร์เพราะถ้าความเร็วรอบเครื่องสูงเกินกำหนดเกียร์จะไม่เปลี่ยนทันทีทันใดหากไม่มีโปรแกรม Hold กับ Manual อย่างใดอย่างหนึ่งผู้ขับจะต้องใช้การแตะเบรคช่วยให้รอบเครื่องลดลง การขับที่ถูกวิธี คือ เมื่อขับอยู่ในตำแหน่งเกียร์ 3 และเมื่อเห็นว่าความชันของเส้นทางที่ลงมีมากจนแรงหน่วงไม่พอในเกียร์นี้ และรถเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นควรรีบเชนจ์มาเกียร์ 2 แต่เนิ่น ๆ ตำแหน่งเกียร์จะเปลี่ยนมาทันที

การออกรถในโปรแกรมนี้จะทำได้เช่นเดียวกับเกียร์ธรรมดาทุกประการคือ เริ่มออกรถในตำแหน่งเกียร์ 1 หรือ L และสามารถเปลี่ยนเกียร์ 2 ได้ในความเร็วรอบเครื่องต่าง ๆ กันตามต้องการ ไม่ว่าจะเอาแบบลากรอบสูงหรืออยากเปลี่ยนแบบนิ่ม ๆ ที่รอบปานกลางไปตามลำดับจนถึงตำแหน่ง D ซึ่งในช่วงเกียร์ 2 ได้ในความเร็วรอบเครื่องต่าง ๆ กันตามต้องการ ไม่ว่าจะเอาแบบลากรอบสูงหรืออยากเปลี่ยนแบบนิ่ม ๆ ที่รอบปานกลางไปตามลำดับจนถึงตำแหน่ง D ซึ่งในช่วงเกียร์ 3 กับ 4 ก็ใช้ปุ่ม OD ร่วมด้วยเท่านั้น รถก็จะมีการเปลี่ยนเกียร์ครบทั้ง 4 เกียร์ การเชนจ์เกียร์ก็ทำได้เช่นเดียวกันโดยย้อนกลับจากตอนออกรถ

Kick Down
โปรแกรมนี้จะมีในรถเกียร์ออโตทุกรุ่นซึ่งไม่มีปุ่มให้กดโดยจะอยู่ที่คันเร่งนั่นเอง คือ การที่เมื่อเราต้องการเชนจ์เกียร์มาในเกียร์ต่ำเพื่อการเร่งแซงก็เพียงแต่กดดันคันเร่งลงไปให้มิด เกียร์จะเปลี่ยนลงไปเป็นเกียร์ต่ำกว่าเกียร์ที่ใช้อยู่ และรอบเครื่องยนต์จะเพิ่มขึ้น เพราะเราเหยียบคันเร่งในตำแหน่งเร่งสุดรถจะมีการพุ่งหรือสปริ้นท์ตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเร่งแซง เมื่อแซงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความเร็วรถเพิ่มขึ้นก็จะมีการเปลี่ยนเกียร์กลับมาในเกียร์สูงตามเดิมโดยเราไม่ต้องทำอะไรกับคันเกียร์ นอกจากการเร่งแซงแล้วก็ยังใช้ในโอกาสอื่น ๆ เช่น การขึ้นที่สูงชัน

ความรู้เล็ก ๆ ที่ทางเรา Q4CAR นำมาฝาก