วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หยุดแล้ว...ไม่เจ็บตัว



ขนาดเดินไปเดินมาเฉยๆ ยังชนกันปากแตกได้ นับประสาอะไรกับรถที่แรดไปทั่ว โอกาสกระทบกันย่อมมีอยู่สูง อย่าว่าแต่ขับรถเลยแม้กระทั่งจอดรถแวะกินข้าวต้มอยู่ข้างทาง พวกยังเซเข้ามาเสยจะเละไปทั้งแถบ

เรื่องของอุบัติเหตุแม้จะเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ให้เกิดขึ้นมิได้ แต่เราสามารทำให้โอกาสเกิดเรื่องมีน้อยลง หรือลดอาการบาดเจ็บยามเป็นเรื่องให้เบาบางลงได้ สิ่งที่ควรจะสนใจเรียนรู้และฝึกฝนนั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องของการหยุดรถ ว่าควรกระทำประการใดรถจึงจะสามารถหยุดได้อย่างที่เราต้องการ ซึ่งวิธีหยุดรถให้ดีนั่นไม่ได้หมายความว่าจะพึ่งพาเฉพาะประสิทธิภาพเบรกของรถกันเพียงอย่างเดียว ยอมรับว่ารถสมัยนี้มีอุปกรณ์ไฮเทค ที่สามารถช่วยคนขับได้เยอะ ในเรื่องของการหยุดรถให้ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ABS ป้องกันการล็อคของล้อ ระบบ BA ช่วยเพิ่มพลังในการเบรคแบบรวดเร็วกะทันหัน หรือระบบ EBD ที่รู้ดีว่าจะต้องใช้แรงดันเบรกแต่ละล้อกี่มากน้อย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับเท้าที่เหยียบเบรกลงไปด้วย

เบรกแบบอัตโนมัติ

การขับรถที่ดีนั้นต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา ถ้าเผอเรอเมื่อไหร่มักจะเป็นเรื่อง (เกือบทุกที) แต่ในความเป็นจริงนั้นคงไม่สามารถตั้งสมาธิได้ตลอดเวลา บางคนก็ขับรถไปคิดไป เรื่องงาน ครอบครัว หรืออะไรต่อมิอะไร บางคนก็มัวแต่พูดโทรศัพท์ และมีอีกเยอะที่มักสนใจวิว “สายเดี่ยว” ข้างทางมากกว่าเส้นทาง ก็เลยเกิดเป็น “ทีเผลอ” ขึ้นมา

ด้วยเหตุที่เราไม่สามารถมีสมาธิในการขับรถได้ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยเราก็ต้องป้องกันและแก้ไข โดยการกระทำให้เป็นสัญชาตญาณในการแก้ไขเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นการหักหลบหรือเบรกก็ตาม ซึ่งหากทำได้โดยสมองไม่ต้องสั่ง จะทำได้ดีและรวดเร็วกว่าผ่านการสั่งของสมองซะอีก ซึ่งลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คิดแล้วทำได้ ต้องมีประสบการณ์และผ่านการฝึกหัดทดลอง ซึ่งเล่นไม่ยากนัก โดยการหาเส้นทางที่ปลอดภัยไม่มีรถ อาจจะเป็นถนนในหมู่บ้านจัดสรรที่รกร้าง ตรอก หรือซอยลึกที่ไม่ค่อยมีใครผ่าน ให้ขับรถด้วยความเร็วแค่ 50-60 กม./ชม. ก็พอ เพราอุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเกิดที่ความเร็วประมาณนี้ แล้วหัดเบรกโดยการยกเท้าจากคันเร่งมาเหยียบเบรกให้เร็วและให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฟังเหมือนไม่ยากแต่ความจริงมันก็ไม่ง่ายนักต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเบรกได้รวดเร็ว ดั่งใจต้องการ

เหยียบลงไปอย่ากลัวเบรกเจ็บ

เชื่อหรือไม่ว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยกล้าลงเบรกกันแรงเท่าที่ควร ด้วยเหตุนี้เค้าจึงต้องคิดค้นเจ้าระบบ BA หรือ Brake Assist System ขึ้นมาให้ช่วยใช้งานกัน เนื่องจากโดยมากมักจะใช้เบรกกันเบาเกินไป โดยเฉพาะสมัยแรกที่ระบบเบรก ABS เริ่มมีใช้กัน คนขายรถมักจะโฆษณาว่าช่วยให้รถหยุดได้ดีกว่ารถที่ไม่มีระบบเบรก ABS ใช้ ซึ่งก็จริงเหมือนกัน แต่มันหมายถึงการเบรกบนทางเปียกลื่นต่างหาก ถ้าเป็นการเบรกบนถนนแห้งแล้ว รถที่มีระบบเบรก ABS นั้นจะใช้ระยะเวลาในการเบรกยาวกว่ารถที่ไม่มีระบบเบรก ABS ใช้ เนื่องจากการเบรคของ ABS จะไม่จับจานเบรกแน่นตลอดเวลา แต่จะจับและคลายตัวปล่อยจานเบรกเป็นจังหวะ เพื่อให้ล้อยังหมุนไปจับกับพื้นถนนลดการล็อคของล้อ จึงช่วยให้มีการทรงตัวที่ดีขณะเบรก และสามารถควบคุมทิศทางได้ ด้วยเหตุนี้พวกรถที่มีABS จึงไม่ได้หมายความว่าการเบรคบนทางแห่งจะได้ระยะเบรคสั้นกว่าพวกรถที่ใช้ระบบเบรกแบบธรรมดา

ดังนั้น ในบทเรียนการขับรถปลอดภัยของบริษัทรถทุกแห่งหรือในหลักสูตรการขับปลอดภัย จะมีบทเรียนการเบรกของรถที่ใช้ระบบเบรก ABS ด้วย โดยการสอนให้เบรกอย่างรวดเร็วและรุนแรง การเบรกบนทางที่มีผิวถนนต่างกัน ระหว่างล้อซ้ายกับล้อขวา เช่น ล้อด้านซ้ายอยู่บนทางเปียกหรือลื่น แต่ล้อฝั่งขวาอยู่บนทางปกติ และการเบรกบนทางลื่น รวมถึงการหักหลบ พร้อมกับการเบรก เพื่อให้คนขับได้สัมผัสกับการลงเบรกกันอย่างหนักหน่วงกว่าที่คิด และให้รับทราบถึงผลการเบรกว่าเป็นประการใด จะได้รู้วิธีและพร้อมที่จะใช้งาน

สำหรับรถรุ่นเก่าที่ยังไม่มีระบบเบรค ABS ใช้ จะมีปัญหาอยู่บ้างเรื่องการสึกของยางหากมีการใช้เบรกอย่างหนักหน่วงจนกระทั่งล้อล็อค แต่ก็ยังอยากให้สัมผัสกัน หากเล่นกันไม่กี่ครั้ง ยางคงไม่สึกหรอจนเสียรูป โดยการหาทางที่กว้างขวางและโล่งพอ หากเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่เป็นอันตราย ต่อจากนั่นให้ลองเบรกกันที่ความเร็ว 60 กม./ชม.โดยการเหยียบเบรกให้เร็วและแรงที่สุด จนกระทั่งล้อเกิดการล็อคเริ่มมีอาการลื่นไถล ให้รีบถอนเท้าออกจากเบรกแล้วกดซ้ำ ส่วนพวกรถที่เป็นเกียร์ธรรมดา ให้หัดเหยียบเบรกนิ่งแล้วจึงค่อยเหยียบคลัทซ์ เพื่อจะได้ใช้เอนจิ้นเบรกมาช่วยการหน่วงความเร็วของรถ และด้วยความเร็วระดับนี้หากใช้รถเกียร์ธรรมดา ลองเบรกที่เกียร์ 3 เกียร์ 4 กับเกียร์ 5 (รถ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ) จะพบว่าระยะเบรกในเกียร์ 3 จะสั้นกว่า เกียร์ 4 และเกียร์ 5 ตามลำดับ เพราะในจังหวะเกียร์ 3 จะมีเอนจิ้นเบรกมากกว่าและที่เกียร์ 4 ก็มีเอนจิ้นเบรกมากกว่าเกียร์ 5 ซึ่งจะได้นำการเชนจ์เกียร์ไปช่วยในการใช้งานจริงเพื่อให้ได้ระยะเบรกสั้นลง

รู้จักหน้ารู้จักใจ

ควรจะพยายามทำความเข้าใจลักษณะการทำงานของเบรกให้ดี รถแต่ละรุ่นแต่ละแบบจะมีการทำงานของเบรกแตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างพวกรถรุ่นเก่าที่ยังไม่มี ABS ใช้ หรือพวกที่ใช้ระบบเบรคแบบหน้าดิสค์หลังดรัม จะพบว่าเมื่อเหยียบเบรกแล้วในจังหวะแรกตัวรถยังไม่ลดความเร็วลง ต้องเหยียบเบรกให้ลึกลงไปอีกนิด คราวนี้ผ้าเบรกถึงจะจับตัวชะลอความเร็วของรถลงมา และเมื่อเหยียบเบรกให้ลึกลงไปอีก การทำงานของเบรกจะเพิ่มเป็นทวีคูณ ในรูปแบบนี้เปอร์เซ็นต์ล้อล็อคมีอยู่สูง ต้องระมัดระวังเรื่องรถลื่นไถลเสียการทรงตัวให้ดี โดยเฉพาะยามเบรกแบบกะทันหัน หรือเบรกอยู่บนทางเปียกลื่น

ในอีกลักษณะหนึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกรถรุ่นใหม่ที่มีระบบ ABS ใช้แล้ว และมักจะเป็นพวกรถที่ใช้ระบบดิสค์เบรกทั้ง 4 ล้อ การเหยียบเบรกจะเริ่มมีประสิทธิภาพสูง ตั้งแต่ต้นเลย พอแตะเบรกลงไปก็รู้สึกได้เลยว่าเบรกเริ่มทำงานแล้ว ในลักษณะเช่นนี้การเบรกเพื่อชะลอความเร็วของรถจะทำได้ดี ทำให้เกิดความรู้สึกว่าถ้าเราเพิ่มกำลังในการเหยียบเบรกอีกหน่อยรถต้องหยุดแน่นอน อันเป็นการเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่สัมผัสได้จากประสิทธิภาพในการทำงานของเบรก จนกระทั่งเกิดมีเหตุด่วนเหตุร้ายทำให้ต้องใช้เบรคเพื่อหยุดรถขึ้นมา ปรากฏว่าเมื่อใช้แรงในการเหยียบเบรกตามที่คิดเอาไว้ กลับไม่สามารถ หยุดรถได้ตามต้องการ เพราะลักษณะการทำงานของเบรกแบบนี้ ช่วงเหยียบ เบรกเพื่อชะลอรถมักจะทำตัวดี แต่ถ้าจะเบรกเพื่อหยุดค่อนข้างลำบาก ต้องใช้แรงกดคันเหยียบเบรกมากกว่าที่คิดเยอะเลย ซึ่งกว่าจะรู้มักจะ “ตูม” ซะก่อน

ทำตัวพร้อมที่จะหยุดทุกเวลา

เราสามารถแบ่งลักษณะการขับรถได้ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การขับขี่ในเมือง และการเดินทางท่องเที่ยวออกต่างจังหวัด ซึ่งในการขับรถอยู่ในเมืองนั้น จะว่าไปโอกาสรถสะกิดกันมีมากกว่าตอนเดินทางซะอีก เพียงแต่ว่ามันไม่รุนแรงเท่านั้นเอง ตัวก่อเรื่องหลักก็มีพวกรถแท็กซี่ที่พร้อมจะแว่บเข้ารับผู้โดยสาร โดยไม่สนใจว่าจะต้องตัดเลนจากขวาสุดมาซ้ายสุด รถมอเตอร์ไซด์ที่พร้อมจะแซงซ้ายเมื่อเราเปิดไฟเลี้ยวซ้าย และชอบแซงขวา อีตอนเราเปิดไฟเลี้ยวขวา รถเมล์ใหญ่ รถเมล์เล็ก กับรถตู้โดยสาร ที่พร้อมจะออกจากป้ายทันทีที่ต้องการ โดยไม่สนใจรถที่อยู่เลนขวา โปรดหลบเอาเองถ้าไม่อยากโดนโซ้ย

จุดอันตรายที่ควรระมัดระวังให้มาก จะมีอยู่ 2 อย่างประการแรกเป็นช่วงขึ้นสะพานหรือเนินที่ไม่เห็นฝั่งตรงข้าม เส้นทางโล่งกดกันได้สบาย แต่ที่ไหนได้พอพ้นเนินขึ้นมาก็เจอรถจอดติดเป็นทิวแถว ทำให้ต้องตาลีหรือตาเหลือก กดเบรกกันแต่มักจะไม่ทันซะแล้ว หรือหากเราเบรกทันก็มักจะโดนรถที่ตามหลังมาอัดเอา ดังนั้นถ้าเจอสะพานหรือเนินที่ไม่เห็นสภาพฝั่งตรงข้ามควรจะชะลอความเร็วลงนิด โดยการเหยียบเบรกเบาๆ แช่เอาไว้ เพื่อให้รถที่ตามหลังเห็นไฟเบรกจะได้ลดความเร็วลงมั่ง รวมทั้งมองเลนข้างๆ ว่าว่างหรือเปล่าเผื่อต้องใช้พื้นที่ในการหักหลบ พยายามประพฤติให้เป็นนิสัย จนกระทั่งทำได้เป็นอัตโนมัติทุกครั้งโดยไม่ต้องสั่ง

ช่วงการลงสะพานและลงเนินเป็นจุดอันตรายอีกแห่งหนึ่ง ด้วยแรงรถผสมกับแรงดึงดูดของโลกทำกินแรงเบรกมากกว่าปกติ เวลาเป็นเรื่องมักจะเบรกไม่ค่อยทัน ต้องระมัดระวังให้ดี และหากมีเรื่องให้ใช้เบรคต้องเผื่อโดยการเบรกให้หนักกว่าธรรมดา
การขับรถยามท่องเที่ยวเดินทาง นอกจากภัยที่เกิดขี้นจากตัวเอง เช่น “เมาแล้วขับ” หรือ “ง่วงแล้วขับ” ก็ยังมีปัญหาในด้านการขับขี่ยิ่งเดินทางยาวใช้เวลาเยอะโอกาสพลาดยิ่งสูง ตอนแรกอาจจะตั้งอกตั้งใจขับ แต่พอนานไปก็ชักจะไร้สมาธิ ดังนั้นต้องพยายามเตือนตัวเองให้กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ แล้วยังต้องเรียนรู้ช่องทางที่จะเพิ่มความปลอดภัย ตลอดจนการระมัดระวังจุดอันตรายเป็นพิเศษ

สิ่งที่พูดกันมากในการขับรถด้วยความเร็วและวิ่งทางยาว อยู่ที่ควรทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าเท่าไหร บ้างก็ใช้สูตรเพิ่มระยะทุกความเร็วที่เพิ่มขึ้น 10 กม./ชม. ให้เพิ่มระยะห่างอีก 1 ช่วงคันรถ ซึ่งมันออกจะรวบรัดไปหน่อย เพราะมีตัวแปรค่อนข้างเยอะ อย่างเช่น เส้นทางราบเรียบและโล่ง ซึ่งเรามองได้กว้างไกล หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเรา มักเห็นได้ล่วงหน้า แม้รถคันข้างหน้าจะบดบังสายตาไปบางส่วนก็ตาม แบบนี้จี้ติดเข้าไปหน่อยก็ได้ เพราะหากมีอะไรเราสามารถมองเห็นได้ก่อน นอกจากนี้ประสิทธิภาพการทำงานของเบรคในรถแต่ละรุ่นก็ต่างกัน อย่างรถคันหน้าเป็นรถยุโรปราคาแพง ใช้ดิสค์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อนทั่งหน้าและหลังใช้แม่ปั๊ม 4 Pot ที่ล้อหน้า ส่วนล้อหลังใช้แบบ 2 Pot แค่แตะเบรกเบาๆ ความเร็ว 160 กม./ชม. ยังใช้เวลาหยุดไม่กี่สิบเมตร ต่างกับรถคันหลังเป็นรถญี่ปุ่นคันโตเครื่องใหญ่ แต่ใช้เบรกอันนิดเดียว ด้านหน้าใช้แม่ปั๊ม Pot เดียว ส่วนด้านหลังก็เป็นดรัมเบรก การเบรกนั้นวางใจลำบากจนกระทั่งเจ้าของรถจะติดร่มอยู่แล้ว คิดเอาเองว่าแบบนี้หากรถญี่ปุ่นขับตามหลัง เอาไปเทียบกับให้รถยุโรบอยู่หลัง โดยขับด้วยความเร็วพอๆ กัน ทั้งสองกรณี ระยะทิ้งห่างควรจะเท่ากันหรือไม่ อีกทั้งยังเป็นเรื่องฝีมือคนขับว่ามือเท้าว่องไวขนาดไหน

ดังนั้นการทิ้งระยะห่างกับรถคันข้างหน้า จึงควรว่ากันตามสถานการณ์และความรู้สึก โดยถามตัวเองว่า “ด้วยระยะห่างแค่นี้หากรถหน้ามีอะไรเกิดขึ้น เราสามารถหยุดทันหรือเปล่า” ถ้าตอบว่าสบายก็ยังสามารถขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิมได้อีก แต่ถ้ารู้สึกเหงื่อแตกใจสั่นมีความเครียดในการขับตาม ก็ควรยืดระยะให้ห่างออกมา

ในการขัยรถท่องเที่ยวเดินทางควรใส่ใจกับจุดคับขันต่างๆ อย่างเช่น ถนนผ่านเขตหมู่บ้าน หรือมีชุมชนหนาแน่นคับคั่ง หากเป็นยามบ่ายใกล้เย็นก็ต้องระวังรถจักรยาน และเด็กนักเรียนที่เพิ่งเลิกเรียนกำลังเดินทางกลับบ้านให้ดี และถ้าเป็นยามเย็นใกล้มืด ก็ต้องระวังพวก สิงห์ คะนองนา รถอีแต๋น หรือพวกรถมอเตอร์ไซด์โผล่พรวดออกมาจากข้างทาง ต้องใช้ความเร็วที่แน่ใจว่าหากมีอะไรโผล่ขึ้นมาขวางทางบนถนน เราสามารถเบรกรถหยุดได้ทัน

เบรคข้างหน้าแต่ให้ระวังข้างหลัง

บอกตรงๆ ว่าในการหยุดรถนั้น ทางด้านหน้าถือว่า “ไม่เท่าไหร่” หากเรามีการเตรียมตัว มีความรู้ มีประสบการณ์ มักจะสามารถเบรกได้ทันท่วงที แต่ที่มีปัญหาคือพวกรถที่ตามหลังเรามานั้น เค้าสามารถเบรกทันตามเราไปด้วยหรือเปล่า ไม่ใช่ยึดเอาบั้นท้ายรถเราเป็นที่เบรก ด้วยเหตุนี้ในการเบรกหยุดรถที่ปลอดภัยนั้น ไม่ใช่ว่าจะมองเฉพาะด้านหน้าอย่างเดียว แต่ต้องมองด้านหลังดูรถที่ตามด้วยว่าเค้าเบรกทันเหมือนเราหรือเปล่า หากพบว่าท่าทางจะรอดลำบาก เราก็ควรขยับรถไปทางด้านให้มากที่สุดเป็นการเพิ่มระยะในการเบรกขึ้นมาอีกหน่อย และหากเป็นไปได้ในการขับรถ ให้พยายามมองรถช่องทางด้านข้างเป็นระยะด้วย เพราะหากคันหน้าหยุดรถแล้วเราเกิดเบรกไม่ทันขึ้นมา หรือหลังจากมองกระจกหลังดูการเบรกรถแล้ว พบว่าท่าทางของรถคันหลังคงรอดยาก แล้วช่องทางด้านข้างที่เรามองไว้มันว่างพอจะแว่บหลบออกไปได้ ก็อย่าช้า ให้รีบเผ่นทันที

เพื่อความปลอดภัยต่อตัวท่านจาก Q4CAR

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น