วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พวงมาลัยดึง

การที่เราขับรถแล้วพบว่ามีอาการดึงไปข้างใดข้างหนึ่งทำให้ต้องคอยหักพวงมาลัยขืนเอาไว้ตัวปัญหา มีด้วยกันหลายจุด ต้องพิจารณากันให้ดี

เกิดเพราะยาง เกิน 50% ที่อาการดึงของรถมีสาเหตุมาจากยาง เช่น แรงดันลมอาจจะต่ำไป ก่อนจะไปพิจารณา ที่อื่นควรทดลองวัดแรงดันลมยางเป็นอย่างแรก หากมีปัญหาลมยางอ่อนก็จัดการเติมให้ได้ตามที่ผู้ผลิตกำหนด แต่ถ้าลมยางถูกต้อง หรือเติมไปเรียบร้อยแล้วแต่อาการดึงยังคงมีอยู่ หากยางที่ใช้เป็นยางใหม่และก่อนหน้าจะไปเปลี่ยนยาง ก็ไม่เคยมีอาการดึง แบบนี้มาก่อนแสดงว่าตัวปัญหาอยู่ที่ยางชุดใหม่ โดยอาจจะเกิดจากขั้นตอนการผลิตที่มีการวางเส้น เข็มขัดรัดหน้ายางไม่อยู่ใน ตำแหน่งที่ถูกต้อง อย่างที่เรียกว่า Off Center Belt เวลายางกลิ้งไปบนถนนจะทำให้เกิด แรงกระแทกทางด้านข้าง (Side Force) เอาชนะแรงที่ทำให้ยางกลิ้งในทางตรง (Roll Straight Ahead) การทดลองให้รู้คือสลับยางหน้าทั้ง 2 เส้น ถ้าอาการดึงเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม ชัวร์ว่ายางเป็นเหตุได้เลย หากไม่สามารถเปลี่ยนยางเส้นใหม่ ได้ก็ต้องลองสลับ เอายางจากล้อหลังมาใช้แทนอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการพวงมาลัยดึง เป็นเรื่องของการใช้ยางเก่า หรือยางกลางเก่ากลางใหม่ ยางที่มีการสึกของดอกยางมากน้อยต่างกัน แต่กลับนำมาใช้ร่วมกัน การใช้ยางผิดประเภท หรือการใช้ยางต่างขนาด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการดึงเช่นกัน

ช่วงล่างมีปัญหา หลังการทดลองสลับยางแล้วพบว่าอาการดึงของพวงมาลัยยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือมีการเปลี่ยนแปลง น้อยมากเคยดึงไปทางด้านไหนก็ยังคงดึงไปทางเดิม ไม่ยอมเปลี่ยนใจแสดงว่างานนี้ยางไม่เกี่ยวก็ต้องพิจารณาที่จุดอื่น เช่น อาจเกิดจากศูนย์ล้อไม่ถูกต้อง โดยแม้จะคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้รถเกิดอาการดึงไปด้านใดด้านหนึ่งได้ โอกาสที่ศูนย์ล้อจะเกิดการผิดเพี้ยนเปลี่ยนไปนั้นมีได้มาก อย่างเช่น ถ้ายางมีการสึกหรอมาก แต่ค่อนข้างสม่ำเสมอที่ขอบหน้ายางด้านใดด้านหนึ่ง จะมีผลทำให้มุมแค็มเบอร์ผิดไป และจะเกิดอาการดึงมากขึ้นยามขับบนถนนต่างระดับหรือพวกถนนหลังเต่า แต่หากขอบหน้ายางด้านใดด้านหนึ่งสึกเป็นจุด เป็นชั้น หรือสึกไม่เรียบ ปัญหาก็เหมือนกับว่าระบบ ช่วงล่างหลวมหรือตัวรองรับน้ำหนักทรุดทำให้มุมแค็มเบอร์เปลี่ยนไปเป็นจังหวะ ๆ ขณะที่รถวิ่งพวกคอยล์สปริงหรือแหนบ ที่นิ่มล้าหรือทรุดตัวแล้วจะเป็นสาเหตุสำคัญที่มีผลทำให้ชุดแค็มเบอร์เปลี่ยนแปลง รถที่ใช้ระบบรองรับน้ำหนักเป็นคอยล์สปริง เราสามารถทดสอบและตรวจเช็คว่ามันล้าหรือทรุดตัวหรือยังได้หลายทาง เช่น จากการสังเกตเวลาเลี้ยวโค้งเร็ว ๆ จะพบว่าตัวรถมีอาการเอียงตัวมากกว่าปกติหรือตรวจสอบความสูงของตัวรถเมื่อพบว่าความสูงทางด้านหน้ากับด้านหลังตลอดจนด้านซ้ายกับด้านขวามีความสูงแตกต่างกันเกินกว่า 13 มม. หรือ ½ นิ้ว ก็แสดงว่าสปริงล้าหรือทรุดตัวแล้วสำหรับรถที่ใช้ระบบ รองรับ น้ำหนักเป็นแหนบต้องตรวจสภาพแหนบว่ายังอยู่ดีหรือไม่แหนบหักหรือเปล่า พวกน็อตสาแหรกยึดตับแหนบมีรายการ หลุดหลวม คลายตัวหรือไม่ พวกหูแหนบหรือโตงเตงแหนบมีการชำรุดหรือไม่ พวกที่ใช้ระบบรองรับน้ำหนัก แบบทอร์ชั่นบาร์ เมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็มีอาการล้าและทรุดตัวได้เช่นเดียวกัน และบางทีด้านซ้ายกับด้านขวาจะทรุดไม่เท่ากัน จากการรับน้ำหนัก จะแตกต่างกัน หากนั่งคนเดียวบ่อย ๆ ด้านขวามักจะทรุดมากกว่า แต่ระบบรองรับน้ำหนักแบบทอร์ชั่นบาร์นี้ดีอยู่อย่าง คือ สามารถปรับตั้งระดับความสูงได้ จึงควรตรวจเช็คระดับความสูงของรถให้เท่ากัน

ลูกปืนและลูกหมาก เป็นอีกจุดที่สามารถสร้างปัญหาให้รถเกิดอาการดึงไปข้างใดข้างหนึ่งควรตรวจสภาพของลูกปืนล้อและลูกหมากหากทำเอง ไม่ได้ก็ควรนำรถไปหาช่างการตรวจสอบลูกหมากนี้สามารถทำต่อเนื่องจากการตรวจสอบลูกปืนล้อได้เลยยังมีอีกหลายจุดที่ทำให้เกิดปัญหาพวงมาลัยหันไม่ตรงกับทิศทางที่เราขับรถไป ต้องเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง อาทิ มุมแคสเตอร์มีปัญหาเนื่องจากมุมแคสเตอร์จะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการดึงของล้อหลังจากที่ได้หักเลี้ยวไปแล้ว หากมีปัญหาก็จะมีผลกับน้ำหนักของพวงมาลัย การตอบสนองของพวงมาลัย การเลี้ยว รวมทั้งยังมีผลกับการทรงตัวของรถยามเบรก และประสิทธิภาพในการหยุดรถอีกด้วย แต่ถ้าเหยียบเบรกเพื่อชะลอหรือหยุดรถแล้วพบว่าพวงมาลัย ถูกดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง แบบนี้แสดงว่าตัวการเกิดขึ้นจากระบบเบรกซึ่งก็ต้องพึ่งพาให้ช่างเขาจัดการให้เช่นกัน

ความรู้ที่ไม่ีควรประมาดจากเรา Q4CAR

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น